คำกล่าวเปิด “งานรวมพลังอุตสาหกรรมปลูกป่า 9 ล้านต้น”

คำกล่าวเปิด “งานรวมพลังอุตสาหกรรมปลูกป่า 9 ล้านต้น”


      คำกล่าวเปิด

                                                                 “งานรวมพลังอุตสาหกรรมปลูกป่า 9 ล้านต้น”

                                                             ในวันที่  1  พฤษภาคม  2551   เวลา  8.00 -12.45  น.

                                                     ณ  สวนศรีนครเขื่อนขันธ์  อ.พระประแดง  จ.สมุทรปราการ

                                                     โดย  คุณไพบูลย์  วัฒนศิริธรรม  อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ

                                              รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

                                                                                   …………………………………

 

                ท่านประธานคณะทำงานเฉพาะกิจโครงการรวมพลังอุตสาหกรรมทำดีเพื่อพ่อ องค์กรเครือข่ายภาครัฐและเอกชน    นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางกะเจ้า (คุณณรงค์  ดวงดี) นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางกอบัว (คุณจงรัก  แป้นเล็ก) หัวหน้ากลุ่มกิจการและโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (คุณสมยศ  กีรติวุฒิกุล)   หัวหน้าศูนย์จัดการพื้นที่สีเขียวเชิงนิเวศนครเขื่อนขันธ์ (คุณพิทักษ์  จงสัจจา)  ท่านผู้ประกอบการและท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย

                ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธาน “งานรวมพลังอุตสาหกรรมปลูกป่า 9 ล้านต้น” ในครั้งนี้ การรวมพลังอุตสาหกรรมทำดีเพื่อพ่อ เป้าหมายจัดทำทะเบียนคลังโลหิต 1 ล้านคน และปลูกต้นไม้  9 ล้านต้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นโครงการที่ดีและเป็นประโยชน์อย่างมาก   เป็นความตั้งใจ  การร่วมแรงร่วมใจและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของภาครัฐและเอกชนที่จะร่วมกันทำความดีเพื่อในหลวง

                ปัจจุบันสภาวะโลกร้อนกำลังเป็นปัญหาและผลกระทบซึ่งเป็นกระแสที่ทุกฝ่ายต่างต้องให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา  ผมจึงมีความเห็นว่า โครงการรวมพลังอุตสาหกรรมปลูกป่า 9 ล้านต้น จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยปลุกกระแสประชาชน   โดยเฉพาะประชาชนภาคอุตสาหกรรมจำนวนหลายล้านคน หันมาให้ความสนใจและร่วมแรงร่วมใจกันปลูกต้นไม้เพื่อลดปัญหาโลกร้อนกันอย่างจริงจังมากขึ้น และผมยิ่งรู้สึกดีใจที่เห็นภาคเอกชนเสียสละเวลาในวันหยุด คือ วันแรงงาน ซึ่งถือเป็นวันหยุดพักผ่อนประจำปีของภาคเอกชน มาร่วมแรงร่วมใจกันจัดกิจกรรมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติในวันนี้

                ท่านผู้มีเกียรติครับ ผมได้รับทราบว่า  โครงการ “รวมพลังอุตสาหกรรม ทำดีเพื่อพ่อ” “หนึ่งพันอุตสาหการ  หนึ่งล้านคลังโลหิต  เก้าล้านต้นไม้เพื่อพ่อ”  ได้มีการขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ โดยมีความก้าวหน้ามาเป็นลำดับ  นับตั้งแต่  นักอุตสาหกรรม และเครือข่ายองค์กรภาครัฐและเอกชนกว่า 20 องค์กร ได้ไปรวมพลังกันกว่า 1,000  คน  กล่าวคำปฏิญาณทำดีเพื่อพ่อ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2550  ที่ผ่านมา

                การมารวมกันทำกิจกรรมปลูกต้นไม้และร่วมกันบริจาคโลหิตครั้งใหญ่ในวันนี้นับว่าเป็นครั้งแรก  ซึ่งจะต้องมีครั้งต่อๆไป  โดยกำหนดนัดหมายไปปลูกต้นไม้ครั้งต่อไป  ในวันที่ 5 ธันวาคม 2551  และมีเป้าหมายจะปลูกให้ครบจำนวน 9  ล้านต้น  กับทำทะเบียนคลังโลหิต 1 ล้านคน  ภายในระยะเวลา 4 ปี  ความสำเร็จตามที่ตั้งใจดังกล่าว  ต้องอาศัยแรงสนับสนุน  ความร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจจากทุกฝ่ายอีกเป็นอันมาก   ครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดี  ซึ่งได้มีผู้สนับสนุนงบประมาณ  สิ่งของและอุปกรณ์ต่างๆ ไว้ส่วนหนึ่งแล้ว    ครั้งต่อๆไปยังต้องการความช่วยเหลือ  ความสนับสนุนเช่นนี้อีก   ฉะนั้นจึงขอเชิญชวนให้ท่านทั้งหลายให้การสนับสนุน  เลือกทำความดี  ตามกำลัง  ตามสถานการณ์  และโอกาสที่เหมาะสมของแต่ละคน  ต่อไป

                ขอขอบคุณทุกๆฝ่าย  ที่สนับสนุนให้การจัดกิจกรรมรณรงค์ครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี  ได้แก่  ศูนย์จัดการพื้นที่สีเขียวเชิงนิเวศนครเขื่อนขันธ์  โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ  กรมป่าไม้ที่ให้การสนับสนุนกล้าพันธุ์ไม้  กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่สนับสนุนงบประมาณก้อนแรกเพื่อดำเนินกิจกรรม  บรรดานักอุตสาหกรรม  ผู้ประกอบการ  พนักงานที่มาร่วมกิจกรรม  องค์กรเครือข่ายภาครัฐและเอกชน  องค์การบริหารส่วนตำบลบางกะเจ้า องค์การบริหารส่วนตำบลบางกอบัว  ซึ่งอำนวยความสะดวกในฐานะเจ้าของบ้าน  

                ท้ายที่สุดนี้ ผมขอแสดงความยินดี และขออนุโมทนาบุญกุศล  คุณงามความดี ที่ท่านทั้งหลาย  ได้ตั้งใจและร่วมกันกระทำในครั้งนี้และจะกระทำในครั้งต่อๆไป  ขอให้การคิดดี  ทำดี ของท่านทั้งหลาย  ส่งผลให้ท่านทั้งหลายพร้อมทั้งครอบครัว  ประสบแต่ความสุข  ความเจริญ  มีความสำเร็จทั้งชีวิตการงานและชีวิตส่วนตัว   ช่วยกันสร้างสรรค์ให้สังคมและสิ่งแวดล้อมของเรามีความสมดุล สงบเย็นและมีสันติสุข ตลอดไป

                บัดนี้ ได้เวลาอันสมควร ผมขอเปิดงาน   “รวมพลังอุตสาหกรรมปลูกป่า 9 ล้านต้น”  ณ  บัดนี้

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/180126

<<< กลับ

การจัดการภัยพิบัติ แบบมีส่วนร่วม บูรณาการ และครบวงจร

การจัดการภัยพิบัติ แบบมีส่วนร่วม บูรณาการ และครบวงจร


(เอกสารประกอบการปาฐกถา  เรื่อง  “การจัดการภัยพิบัติ  แบบมีส่วนร่วม  บูรณาการ  และครบวงจร”  ในงาน ปฏิรูป…การจัดการภัยพิบัติ  “  ร่วมพลิกวิกฤตเป็นโอกาส  วาระรำลึก  ๖ ปี สึนามิ   จัดโดยมูลนิธิชุมชนไทย  เมื่อวันที่  ๒๑ ธันวาคม   ๒๕๕๓  ณ . โรงแรมปรินซ์พาเลซ  กรุงเทพมหานคร)

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/416783

<<< กลับ

‘คสป. – นักวิชาการ’ หนุน ‘อานันท์’ จี้รัฐบาลรับลูก

‘คสป. – นักวิชาการ’ หนุน ‘อานันท์’ จี้รัฐบาลรับลูก


(บทสัมภาษณ์ลงใน  หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน  ฉบับวันที่  24  กรกฎาคม  2553)

นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม

คณะ กรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.)

โดยทั่วไปแล้ว พ.ร.ก.ฉุกเฉินฉบับนี้ควรเลิกใช้โดยเร็วก็ยิ่งดี เพราะเท่ากับว่าประเทศเข้าสู่สภาวะปกติ แต่รัฐบาลก็เกี่ยงว่าสถานการณ์ไม่ปกติ แต่ทุกคนอยากให้ปกติ อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสดีที่ควรใช้กระบวนการสันติวิธีหรือสันติเสวนาเพื่อให้ คู่กรณีได้พบปะหารือกันซึ่งเป็นศิลปะที่ต้องมีขั้นตอนและวิธีการเหมาะสม และต้องมีคนที่รู้วิธีการมาช่วยทำ จากเรื่องง่ายไปหาเรื่องยาก

เช่น ขณะนี้เมื่อข้างหนึ่งเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ก็ทำสัญญาประชาคมกับอีกข้างหนึ่งว่าจะต้องไม่ใช้วิธีการรุนแรงที่ทำให้คน อื่นเดือดร้อน หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ทำอย่างที่ตกลงกันไว้ก็กลับไปสู่เงื่อนไขเดิม แต่เรื่องแบบนี้คิดข้างเดียวก็จะตอบตัวเองลำบากเพราะไม่ได้พูดจากับอีกฝ่าย หนึ่ง

“ผมคิดว่ากระบวนการเช่นนี้ ควรเริ่มโดยรัฐบาลที่แสดงท่าทีเลิก พ.ร.ก.ฉบับนี้ แต่รัฐบาลก็อาจต้องการหลักประกันว่าจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ดังนั้น จึงต้องพูดจากันโดยหาคนที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับ อาจพูดเรื่องง่าย ๆ ก่อน อาจใช้คณะกรรมการชุดคุณคณิต ณ นคร ก็ได้ ถ้าเป็นที่ยอมของทั้งสองฝ่ายก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่เห็นด้วย ก็ให้เสนอคนมาใหม่จนได้คนซื่งเป็นที่ยอมรับร่วมกันแล้วให้เป็นคนกลางในการเจรจา  เริ่มต้นเราอาจเอาคนที่ไม่ต้องมีสถานะสูงนักก่อนแล้วค่อยขยับ ผมว่าเราต้องพยายามดีกว่าไม่พยายาม ซึ่งตอนนี้ยังไม่เห็นชัดว่ามีความพยายาม และถ้าพยายามก็ควรให้สังคมได้รับรู้ เพราะเป็นเรื่องที่ดี”

                ในฐานะ ที่เป็นรัฐบาลก็ต้องเป็นฝ่ายริเริ่ม หรือทำงานเชิงรุกมากกว่าเป็นฝ่ายรับ แต่ต้องเป็นการรุกแบบสร้างสรรค์ คือแบบพี่ใหญ่ที่เข้าไปหาน้องเล็ก ไม่ใช่ให้น้องเล็กไปหา และต้องไปอย่างผู้ใหญาผู้มีสติปัญญา

ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้เหมาะสมกว่าเดือนพฤษภาคมเสียอีก เพราะช่วงนั้นเป็นหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่ตอนนี้สถานการณ์เย็นลงมาก แม้จะเชื่อกันว่ามีบางกลุ่มอยู่ใต้ดิน แต่การที่สังคมไทยจะเดินไปข้างหน้าได้ต้องมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน และช่วยกันคิดว่าทำอะไร หากใครไม่ร่วมด้วยก็ต้องชวนเขาเข้ามาให้ได้

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/380883

<<< กลับ

บันทึกการประชุม… เตรียมการสู่ “สภาประชาชนฯ”

บันทึกการประชุม… เตรียมการสู่ “สภาประชาชนฯ”


(บทความโดยภาสกร  จำลองราช  ลง นสพ.มติชนรายวัน  ฉบับ วันที่  23  พฤษภาคม  2553  หน้า  9)

แม้การประชุมใหญ่สภาประชาชนเพื่อปฏิรูปประเทศไทย  ในวันที่ 20 พฤษภาคม  จะต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากสถานการณ์ความรุนแรงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา  แต่เมื่อวันที่ 16 ที่ผ่านมา  ก็ได้มีการจัดประชุมเตรียมการขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ท่าพระจันทร์  ซึ่งตอนนั้นเครือข่ายต่างเห็นตรงกันว่าน่าจะเดินหน้าจัดประชุมสภาประชาชนฯในวันที่ 20  พฤษภาคม แต่สุดท้ายเมื่อความรุนแรงถึงขั้นจลาจลและเผาบ้านเผาเมือง พร้อมกับการประกาศเคอร์ฟิวของรัฐบาล จึงจำเป็นต้องเลื่อนออกไปก่อน

การประชุมเตรียมการมีองค์กรเข้าร่วมประชุมกว่า 100 องค์กร และได้มีบันทึกการประชุมไว้อย่างน่าสนใจโดยบางส่วนระบุไว้ดังนี้

เนื่องจากสถานการณ์ความรุนแรงในกรุงเทพมหานคร จนทำให้เกิดการบาดเจ็บ การสูญเสียชีวิตของประชาชนจำนวนหนึ่ง ผู้เข้าร่วมประชุม จึงมีความเห็นร่วมกันในการระดมความคิดเห็นเพื่อหาวิธีการผ่อนคลาย ยุติความรุนแรง และการช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในการชุมนุมให้มีความปลอดภัย

พระไพศาลวิสาโล  กล่าวให้สติแก่ที่ประชุม ว่า “…หลังจากเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภา 2535 เราไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์สูญเสียแก่ผู้คนจำนวนมากอีก ไม่ว่าใครจะสูญเสียในเหตุการณ์ที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี แม้ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน คนเหล่านั้นก็เป็นคนไทย แม้ว่าจะใส่เสื้อสีต่างจากเรา ก่อนที่เขาจะเป็นคนสีอะไรก็เป็นคนไทย และเป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย กับเรา มีพ่อแม่ มีคนรัก มีคนที่รอคอยเขากลับบ้าน การจากไปของเขาไม่น่ายินดีหรือได้รับชัยชนะ เราต้องเห็นอกเห็นใจ ไม่เอาความเครียดแค้น ความพยาบาทเข้ามาครองใจเรา ความเป็นมนุษย์ไม่ชนะความเมตตากรุณา เสียงปืนยังดังต่อไป  แต่อย่าให้เสียงปืนดังกลบเสียงแห่งสันติภาพ ความเห็นอกเห็นใจ อย่าให้ความโกรธ ความเกลียดชนะความเป็นมนุษย์ เราคงจะปฏิรูปไม่ได้หากสังคมไทยยังมีความโกรธ เกลียด พยาบาท หากบ้านเมืองตกอยู่ในสงครามการเมือง มีความรุนแรง ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ต้องหันมาร่วมมือกันเพื่อทำให้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นยุติหรือน้อยบรรเทาเบาบาง ไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านี้ ขอถือโอกาสให้เราได้ไว้อาลัยแก่ผู้ที่สูญเสียไม่ว่าเขาจะอยู่ฝ่ายไหนก็ตาม”

หลังจากนั้นได้มีการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอเพื่อให้สถานการณ์ความรุนแรงลดลง เพราะทุกชีวิตมีความหมาย เราจะทำอย่างไรไม่ให้มีการยิงกัน การฆ่ากัน

และได้มีการอธิบายจากผู้เข้าร่วมประชุมว่า การปฏิรูปประเทศเป็นของประชาชนไม่เกี่ยวรัฐบาล ซึ่งการผลักดันเรื่องปฏิรูปประเทศไทยมาจากภาคประชาชนก่อนที่รัฐบาลจะเสนอให้มีแผนปรองดอง โดยภาคประชาชนเป็นคนเริ่มก่อนให้มีทางเลือกทางออกจากความรุนแรง นำมาสู่การปฏิรูปประเทศ

ที่ประชุมได้ข้อสรุปว่า ให้มีการออกแถลงการณ์เพื่อเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรง และกำลังอาวุธ ให้มีการกำหนดพื้นที่อภัยทาน พื้นที่สีขาว แก่ผู้เข้าร่วมชุมนุมโดยเฉพาะ เด็ก ผู้หญิงและผู้สูงอายุ, ไม่ให้ใช้ความรุนแรงต่อหน่วยพยาบาลและผู้สื่อข่าว และให้มีการเจรจาระหว่าง นปช. และรัฐบาล  แต่แถลงการณ์นี้ออกในนามเครือข่ายต่างๆ ไม่ใช้ชื่อสภาประชาชนฯ

  • ความคิดเห็นและข้อเสนอต่อการจัดงาน “สภาประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย”

1. มีข้อเสนอให้เลื่อนการจัดงานสภาประชาชน ปฏิรูประเทศไทย ในวันที่ 20 พฤษภาคม ออกไปก่อน เพราะสถานการณ์ที่รุนแรง และคุยด้วยกันไม่ได้เนื่องจากมีความขัดแย้งระหว่างกันอยู่ และการจัดงานในวันที่ 20 จะทำให้ถูกมองหรือถูกเข้าใจว่าเข้าเป็นงานของรัฐบาล หรือตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการสร้างภาพแผนปรองดอง

อย่างไรก็ตาม  มีผู้เห็นว่าไม่ควรเลื่อนวันจัดงานเนื่องจาก เรื่องปฏิรูปเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาวให้ยกระดับเหนือความขัดแย้ง ต้องทำหลายอย่างควบคู่กันไป มีทั้งข้อเสนอให้ยุติความรุนแรง และการปฏิรูปยังต้องเดินหน้าต่อไป การก่อความรุนแรงอาจจะมีมาจากหลายส่วน หากทหารหยุด แต่ฝ่ายอื่นอาจจะไม่หยุด การปฏิรูปไม่ใช่ของรัฐบาลอย่างเดียว ชาวบ้านพยายามต่อรองเจรจามาหลายปีแล้ว ไม่ใช่คนจนจะมาฉวยโอกาสมาแก้คุณภาพชีวิตในตอนนี้ แต่เป็นเรื่องที่นักการเมืองหยิบฉวยเรื่องมาเป็นนโยบาย ในฐานะรัฐบาลต้องแก้ปัญหาทุกเรื่อง เพราะปัญหาชาวบ้านถูกละเลยมาตลอด

ที่ประชุมเข้าใจร่วมกันว่า การจัดเวทีการปฏิรูปประเทศไทย ในวันที่ 20 เพื่อเป็นพื้นที่ที่ประชาชนกำหนดชะตากรรมตนเอง ไม่ได้เกิดขึ้นหรือจัดโดยรัฐบาล

2. มีข้อเสนอให้จัดงานปฏิรูประเทศไทย ในวันที่ 20 แต่มีการปรับเปลี่ยน เพิ่มเติมประเด็นในการประชุม เช่น เรื่องการใช้ความรุนแรง, การเยียวยาแก่ทุกฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บ หรือสูญเสียชีวิต, และการลดความเกลียดชัง

(เมื่อสถานการณ์ความรุนแรงยังไม่คลี่คลาย และมีทีท่าว่าจะรุนแรงกว่าเดิม รวมทั้งมีการประกาศหยุดราชการ ในวันที่ 17 พฤษภาคม แกนนำเครือข่ายจึงมีการประสานหารือกัน และตกลงให้เลื่อนการประชุมออกไปก่อน โดยยังไม่กำหนดวัน เวลาใหม่)

  • ข้อเสนอและประเด็นปัญหาเพิ่มเติม เพื่อการปฏิรูปประเทศไทย

ก่อนการจัดประชุม การเตรียมการสภาประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย ในวันที่ 16 พฤษภาคม  มีการจัดประชุมย่อยของหลายเครือข่าย ซึ่งมีข้อเสนอในการจัดกลุ่มประเด็นการปฏิรูปได้ดังนี้

1.ทิศทางการลดช่องว่างคนรวยคนจน 2.การพัฒนาระบบสวัสดิการ 3.การมีส่วนร่วมทางการเมือง 4.ความไม่เป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม 5.การปฏิรูประบบราชการ 6.การแก้ไขปัญหาคอรัปชั่น

ผู้เข้าร่วมประชุมได้เสนอ ข้อเสนอประเด็นปัญหาเพิ่มเติม ดังนี้ การทำวิสัยทัศน์ เช่น สังคมที่เท่าเทียมและเป็นธรรม ,การปฏิรูปสื่อ,การปฏิรูปการศึกษา,การปฏิรูปวัฒนธรรม ใช้ศาสนาเป็นแกนหลักในการแก้ปัญหา,การปฏิรูปพรรคการเมือง,การปฏิรูปวิธีการงบประมาณของประเทศ ให้ องค์กรประชาชนสามารถใช้งบประมาณได้โดยตรงไม่ต้องผ่านหน่วยงาน,ปฏิรูประบบการเกษตร เช่น ให้องค์กรของเกษตรกร (วิสาหกิจชุมชน,กลุ่มเกษตรกร, สหกรณ์การเกษตร) เป็นผู้นำกำหนดนโยบายการเกษตร, ให้มีสภาเกษตรกรระดับตำบล ,ความมั่นคงทางอาหาร,แก้ไขปัญหายาเสพติด,การพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ปฏิรูปองค์กรอิสระ การสร้างธรรมาภิบาลในระบบราชการ  การส่งเสริมให้มีการเลือกคนดีเป็นผู้แทนราษฎร  การแก้ไขกฎหมาย และรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง,มีการแยกประเด็นปัญหาของประชาชนที่เป็นเรื่องร้อน ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน,การเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความรุนแรง

  • ข้อเสนอต่อกลไก อำนาจหน้าที่สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย

–  เป็นกลไก เครื่องมือ กระบอกเสียง และดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหาให้ของประชาชน

–  เป็นกลไกที่มีระยะห่างจากรัฐ

–  สภาประชาชน เป็น สภาฯที่เปิดกว้าง ดำเนินงานต่อเนื่อง ขยายวง มีประสิทธิภาพ ไม่ให้มองเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

–  เป็นเวทีที่สามารถแก้ไขปัญหาประเทศในระยะยาว และการตรวจสอบในอำนาจรัฐ

–  เป็นองค์กรที่ไม่มีอำนาจ ใช้ความรู้ และเชื่อมโยงภาครัฐ

–  เป็นองค์กรที่ผลักดันให้ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานของรัฐปฏิบัติงาน ถ้ามีการละเลยการปฏิบัติหน้าที่

–  การจัดโครงสร้างองค์กรต้องมีลักษณะเป็นแนวราบ เช่น คณะทำงาน คณะประสานงาน เป็นต้น

–  มีแผนปฏิบัติการของสภาประชาชน แยกเป็นแผนปฏิบัติการการบริหารจัดการ และประเด็นเนื้อหาการปฏิรูป

 

(ขอขอบคุณ คุณภาสกร  จำลองราช  แห่งหนังสือพิมพ์มติชนรายวันที่อนุญาตให้นำบทความนี้มาใช้)

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/361487

<<< กลับ

การฟื้นฟูและขับเคลื่อนประเทศไทยภายหลังวิกฤติ “เมษา-พฤษภา มหาวินาศ (2553)”

การฟื้นฟูและขับเคลื่อนประเทศไทยภายหลังวิกฤติ “เมษา-พฤษภา มหาวินาศ (2553)”


1. ประเด็นเรื่องที่ควรทำ

ควรใช้วิกฤติครั้งใหญ่เป็นโอกาสครั้งสำคัญของคนไทยและสังคมไทยโดยรวม  ในอันที่จะฟื้นฟูพร้อมทั้งขับเคลื่อนประเทศไทยให้เดินไปข้างหน้าได้ดียิ่งขึ้น  โดยพิจารณาดำเนินการในเรื่องดังต่อไปนี้

1.1  การเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายบอบช้ำจากวิกฤติการณ์อย่างเหมาะสมทั่วถึงและรวดเร็วมีประสิทธิภาพ

1.2  การสร้าง  “ความเป็นธรรม”  และ  “ความยุติธรรม”  ที่เหมาะสมกับทุกคนทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมเสมอภาค  ผ่านกระบวนการยุติธรรมที่เป็นอิสระโปร่งใส

1.3  การค้นหา  “ความจริง”  อย่างโปร่งใสโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นกลาง  ให้ปรากฏต่อสังคมไทยและสังคมโลก  เพื่อให้เกิด  “การเรียนรู้และพัฒนา”  จาก  “ความเป็นจริง”  อย่างสร้างสรรค์  โดยอาจศึกษา  “ความจริง”  2 ระดับ  คือ  (1) ระดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง (“ความจริงระดับต้น”)  และ  (2)  ความจริงที่วิเคราะห์เจาะลึกถึงปัจจัยพื้นฐาน  โครงสร้าง  ระบบ  วัฒนธรรม  ฯลฯ  ที่มีความสลับซับซ้อนและมีพลวัตตลอดเวลา  (“ความจริงระดับลึกและกว้าง”)

1.4  การฟื้นฟูอาคารสถานที่ กิจการ วิถีชีวิต จิตใจ  และบรรยากาศทางสังคม  ให้เข้าสู่ภาวะปกติ  (ดีเท่าเดิมหรือดียิ่งกว่าเดิม)  รวมถึงการใช้ธรรมะ  “สุทธิ  ปัญญา  เมตตา  ขันตี”  (ที่พระพุทธทาสเคยแนะนำต่อนายกฯสัญญา  ธรรมศักดิ์  ในปี 2517)  การให้ความรักความมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์และเพื่อร่วมชาติทุกคน  การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนทุกฝ่าย  ความอดทนอดกลั้น  การมีใจเปิดกว้างเปิดรับข้อมูลและความคิดอย่างสร้างสรรค์โดยไม่มีอคติ  การมีไมตรีจิตปรารถนาดีต่อทุกคนทุกฝ่าย  ความเห็นอกเห็นใจ  การให้อภัย  การแสดงความเสียใจ  การขอโทษ  การแสดงความรับผิดชอบ  การคืนดีและปรองดอง  ฯลฯ  ซึ่งสรุปแล้วคือการใช้  “ความดี”  หรือ  การ  “คิดดี  พูดดี  ทำดี”  นั่นเอง

1.5  การ  “ปฏิรูปประเทศไทย”  อย่างสร้างสรรค์  เป็นรูปธรรม  และบูรณาการ  โดยเป็นกระบวนการที่ประชาชนและฝ่ายอื่นๆทุกฝ่ายเข้าร่วมคิดร่วมทำอย่างสร้างสรรค์จริงจังและต่อเนื่อง  แม้เปลี่ยนรัฐบาลหรือสมาชิกรัฐสภา  (ตัวอย่าง  ร่างแนวทาง  “การปฏิรูปประเทศไทย”  ซึ่งนำเสนอโดยเครือข่ายองค์กรภาคประชาชน  เมื่อ  16 พ.ค. 53  ปรากฏใน  “บันทึกการประชุมเตรียมการสู่ สภาประชาชนฯ  ตามที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์  ‘มติชนรายวัน’  23 พ.ค. 2553  หน้า 9)

1.6  การเชื่อมโยงผสมผสานและประยุกต์ดัดแปลงให้เหมาะสมระหว่างเรื่องข้างต้นกับ  “แผนปรองดองแห่งชาติ”  ของนายกรัฐมนตรี  (อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ)  รวมถึงการยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่อย่างเหมาะสม  โดยฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่สำคัญ  (Key stakeholders)  มีโอกาสได้ปรึกษาหารือหาข้อสรุปหรือข้อตกลงร่วมกัน  โดยกระบวนการ  “สันติสานเสวนา”  (Peacebuilding  Dialogue)

 

2. วิธีดำเนินการ

ควรให้ความสำคัญกับ  “กระบวนการ”  (Process)  และ  “ทัศนคติ” (Attitude)  ควบคู่กับการพิจารณา  “สาระ” (Content)  ของ  “การฟื้นฟูประเทศไทย”  ซึ่งรวมถึง  “แผนปรองดองแห่งชาติ”  ของนายกรัฐมนตรี

2.1  “กระบวนการ”  ที่ดี  ได้แก่  การมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง  การมี  “คนกลาง”  (หรือ  “วิทยากร”  หรือ  “ผู้รับใช้”)  ช่วย  “จัดกระบวนการ”  อย่างเหมาะสม  (ซึ่ง  “คนกลาง”  ดังกล่าวต้องเป็นที่เห็นชอบร่วมกันของผู้เข้าร่วมกระบวนการ  (คู่กรณี)  ทุกฝ่าย)  การใช้วิธีการที่หลากหลายต่อเนื่องและครบขั้นตอนอย่างบูรณาการ  ฯลฯ

2.2  “ทัศนคติ”  ที่พึงปรารถนาและควรเอื้ออำนวยให้เกิดขึ้นในจิตใจอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผู้เกี่ยวข้อง  ได้แก่  ความอดทนอดกลั้น  ความเห็นอกเห็นใจ  ความมีใจเปิดกว้าง  การรับฟังและพยายามเข้าใจคนอื่น  ความเป็นมิตรไมตรี  การมองผู้อื่นเป็นเพื่อนมนุษย์หรือพี่น้องร่วมชาติร่วมสุขร่วมทุกข์กันทั้งสิ้น  ความเอื้ออาทรผ่อนปรนยืดหยุ่น  การคิดเชิงบวกและสร้างสรรค์  การมุ่งแก้ปัญหาด้วยปัญญาและสันติวิธี  การมองวิกฤติเป็นโอกาส  การใช้ปัญหาสร้างปัญญา  การใช้  “ธรรมะ”  หรือ  “ปรัชญา”  ที่ดีๆจากทุกศาสนาทุกวัฒนธรรม  ฯลฯ

2.3  “สาระ”  ที่ดี  ควรให้ครบประเด็น  เป็นรูปธรรม  มีขั้นตอนการปฏิบัติที่เหมาะสมชัดเจน  มีกลไกวิธีการติดตามผลเพื่อกำกับกระบวนการให้เป็นไปตามที่ได้ตกลงกัน  รวมทั้งเพื่อเรียนรู้และปรับปรุงพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง  ฯลฯ

องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน  จะเอื้อซึ่งกันและกัน  กล่าวคือ  “กระบวนการ” ที่ดี  จะช่วยให้เกิดทัศนคติที่ดีได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น  นำไปสู่การได้สาระที่ดี  ในทางกลับกัน “ทัศนคติ” ที่ดี  ทำให้สามารถจัดกระบวนการที่ดีและได้สาระที่ดี  โดยสะดวกมากขึ้น  และเมื่อได้  “สาระ”  ที่ดี  ทัศนคติที่ดีจะตามมา  รวมถึงการจัดกระบวนการที่ดีก็ทำได้ง่ายขึ้นไปอีก  ฯลฯ  ดังนี้เป็นต้น

 

3. ระดับการดำเนินการ

ควรดำเนินการใน 3 ระดับเป็นหลัก  ควบคู่กันไป  ได้แก่

3.1  ระดับประเทศ  (หรือระดับชาติ)

3.2  ระดับจังหวัด   (หรือระดับกลุ่มจังหวัด)

3.3  ระดับตำบล     (หรือท้องถิ่น  เช่น  หมู่บ้าน  เขตนิเวศ  ฯลฯ)

ในแต่ละระดับ  ควรใช้หลักการ  (1) “ประชาชน (ในพื้นที่) เป็นเจ้าของเรื่องและเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ”  (2) “คนภายนอกเป็นผู้เอื้ออำนวย (Facilitator) หรือสนับสนุน (Supporter)” และ (3) “ทุกฝ่ายประสานความร่วมมืออย่างเหมาะสมมีคุณภาพและประสิทธิภาพ”

อนึ่ง  นอกจากดำเนินการโดยใช้  “พื้นที่”  เป็นตัวตั้ง  ยังสามารถดำเนินการโดยใช้  “ประเด็น”  หรือ  “กลุ่มคน”  หรือ  “องค์กร”  เป็นตัวตั้ง  ได้อีกด้วย

 

4.  กลไกสนับสนุนการดำเนินการ

4.1  ควรมี “กองทุนฟื้นฟูและขับเคลื่อนประเทศไทย”  เพื่อสนับสนุนการดำเนินการต่างๆดังกล่าวข้างต้น  โดยมีกองทุนสำหรับแต่ละจุดดำเนินการ  ทั้งในระดับชาติ  ระดับจังหวัด  และระดับตำบล  แหล่งเงินทุนควรมาจากภาครัฐ  ภาคธุรกิจ  ภาคประชาสังคมและประชาชน  รวมถึงองค์กรและบุคคลต่างๆตามความสมัครใจ  ผู้ดูแลกองทุนอาจเป็นองค์กรใดองค์กรหนึ่งตามที่ผู้เกี่ยวข้องจะได้ตกลงกัน

4.2  ควรมี  “หน่วยเลขานุการฟื้นฟูและขับเคลื่อนประเทศไทย”  เพื่อประสานเอื้ออำนวยและสนับสนุนการดำเนินการฟื้นฟูและขับเคลื่อนประเทศไทยในแต่ละจุด/พื้นที่/ประเด็น  โดยพยายามให้มีรูปแบบที่เรียบง่าย  กระทัดรัด  คล่องตัว  ดำเนินงานได้อย่างมีคุณภาพพร้อมประสิทธิภาพ  จะจัดตั้งที่ไหนอย่างไรให้เป็นผลของการหารือตกลงกันระหว่างผู้เกี่ยวข้อง

 

5. บทบาทของสถาบันอุดมศึกษา  (และองค์กร/กลุ่มคนอื่นๆ โดยประยุกต์หลักการ  แนวคิด  วิธีปฏิบัติ  ฯลฯ  ทำนองเดียวกัน)

5.1  ควรมีการจัดให้สถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ  ได้มาประชุมปรึกษากันเกี่ยวกับบทบาท  แนวคิด  หลักการ  แนวทาง  และวิธีการ ฯลฯ  ของสถาบันอุดมศึกษาในการสนับสนุน  “การฟื้นฟูและขับเคลื่อนประเทศไทย”  ดังกล่าวข้างต้น

5.2  อาจมีการเสนอให้ใช้แนวคิด  “หนึ่งจังหวัดหนึ่งสถาบันอุดมศึกษา  (หรือมากกว่า)”  เพื่อกระจายภารกิจให้สามารถดำเนินการครอบคลุมทั้งประเทศได้พร้อมๆกัน  รวมทั้งให้มี  “การจัดการความรู้”  (Knowledge Management)  หรือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสถาบันอุดมศึกษาตลอดจนผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ เป็นระยะๆ เพื่อพัฒนาแนวคิด  หลักการและวิธีการในเรื่องต่างๆ ให้ดีขึ้นไปอีก  ได้อย่างต่อเนื่อง

5.3  สถาบันอุดมศึกษา  (และองค์กร/กลุ่มคนอื่นๆ)  ที่มีความสนใจและพร้อมที่จะร่วมดำเนินการข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อ  ในระดับใดระดับหนึ่งหรือหลายหลายระดับ  ในประเด็นใดประเด็นหนึ่งหรือหลายประเด็น  ฯลฯ  ควรเลือกดำเนินการได้ตามที่สถาบันอุดมศึกษา  (และองค์กร/กลุ่มคน)  นั้นๆเห็นสมควร

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/361486

<<< กลับ

เอกสารฉบับย่อ : การปรับทิศทางการพัฒนาประเทศด้วยชุดตัวชี้วัดการพัฒนาแบบบูรณาการ

เอกสารฉบับย่อ : การปรับทิศทางการพัฒนาประเทศด้วยชุดตัวชี้วัดการพัฒนาแบบบูรณาการ


(เอกสารประกอบการอภิปราย  หัวข้อ  “Reshaping Economic Development with Gross National Progress Index”  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ  An International Conference  “Asia : Road to New Economy”  จัดโดย  The Nation  และ  Asia News Network  ที่โรงแรม  Plaza Athenee  เมื่อ  21  สิงหาคม  2552)

การนำเสนอการสัมมนาจะประกอบด้วย 2 ประเด็นหลัก ดังนี้ :

ประการแรก จะกล่าวถึงหลักการและกระบวนการในการพัฒนาชุด ตัวชี้วัดที่สามารถนำไปใช้ได้ในระดับปฏิบัติ และนำการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมอย่างยั่งยืน

หลักการพื้นฐานของชุดตัวชี้วัดการพัฒนาแบบบูรณาการแบบใหม่ ประกอบไปด้วย:

–         มีความครอบคลุมและมีการบูรณาการในเนื้อหาสาระ กระบวนการ และวิธีการ

–         ยึดหลักแนวคิด 3 ฐานหลักของการพัฒนา ได้แก่  1. ความดี 2. ความสามารถ และ 3. ความสุข หรือสุขภาวะ

–         ร่วมมือกันอย่างเชื่อมโยงและมีพลวัตทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น  

–         ในระดับท้องถิ่น ชุดตัวชี้วัดจะนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และพัฒนาของชุมชนโดยมุ่งตรงสู่ผลลัพธ์ ดังนั้น ควรให้เกิดความเข้าใจเรื่องตัวชี้วัด  การดำเนินการพัฒนาตัวชี้วัด  และการนำตัวชี้วัดไปใช้ร่วมกัน  โดยแต่ละชุมชนและเพื่อแต่ละชุมชน

–         การพัฒนาชุดตัวชี้วัดระดับท้องถิ่นควรเน้นหลักการสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ 1. มีเป้าประสงค์ในการพัฒนาที่ชัดเจน 2.  มีตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรม สามารถวัดได้ และนำไปใช้ได้ในระดับปฏิบัติเพื่อดำเนินการชี้วัดความก้าวหน้าตามเป้าประสงค์ในการพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง 3. ระบุได้ว่าจะได้ตัวชี้วัดจากแหล่งใด  ด้วยวิธีใด  4. ปรับปรุงพัฒนาชุดตัวชี้วัดอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

–         ในระดับชาติ ชุดตัวชี้วัดควรได้รับความเห็นพ้องร่วมกันในสังคมอย่างเป็นองค์รวม มิใช่ถูกกำหนดโดยฝ่ายรัฐบาล นักวิชาการ หรือ นักวิจัย แต่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น ผู้แทนจากทุกภาคส่วนในสังคมควรมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาและกำหนดเนื้อหาสาระ ตลอดจนการนำชุดตัวชี้วัดไปใช้อย่างต่อเนื่อง

ประการสุดท้าย ในการพัฒนาตัวชี้วัดระดับท้องถิ่น  มีกรณีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมในระดับตำบล   ซึ่งจะยืนยันว่า หลักการพื้นฐานดังกล่าวได้ถูกนำไปใช้จริงและเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย โดยกรณีตัวอย่างดังกล่าวยังคงมีการดำเนินการอยู่  และได้ใช้ชุดตัวชี้วัดการพัฒนาแบบบูรณาการเป็นเครื่องมือหลักในการเรียนรู้และพัฒนา พร้อมด้วยการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันจากทุกภาคส่วนในพื้นที่

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/291500

<<< กลับ

‘ไพบูลย์’ จี้เร่ง 3 ภารกิจเฉพาะหน้า

‘ไพบูลย์’ จี้เร่ง 3 ภารกิจเฉพาะหน้า


(จากข่าว “ไม่ต้าน ‘เขยแม้ว’ ‘ก๊กเนวิน’ พร้อมรับมติ พปช.” ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 15 กันยายน 2551  หน้า 1 ต่อ หน้า 15)

                นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่หลายฝ่ายเห็นว่านายสมชายเหมาะสมเป็นเรื่องที่ดี เพราะนายสมชายเป็นคนที่รับฟังคนอื่น เพราะเคยเป็นข้าราชการประจำ แม้แต่นายสุเทพ และนายเสนาะต่างก็เห็นด้วย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ หากจะมีการหารือกันในการจัดตั้งรัฐบาลพิเศษเฉพาะกาล โดยอาจมีพรรคการเมืองใหญ่ 2-3 พรรคเข้าร่วม ทั้งนี้การจัดตั้งรัฐบาลพิเศษ ควรมีบุคคลภายนอกที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาร่วมในคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง เพื่อที่จะได้ คลายความเป็นการเมือง เพราะประชาธิปไตยที่ดีคือการปกครองโดยประชาชน ดังนั้น จึงควรเกิดการผสมผสานกัน แต่อย่าพึ่งตัดสินใจ ต้องค่อยๆ ตั้งโจทย์และหารือจนเห็นพ้องกัน ซึ่งจะเป็นการสมานฉันท์ ทั้งนี้ รัฐบาลพิเศษควรมี เวลาทำงาน 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง 

                “แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับภารกิจที่ต้องทำอย่างน้อย 3 ประการคือ  1. ยุติความขัดแย้ง โดยการสร้างความสมานฉันท์ซึ่งในส่วนของกลุ่มพันธมิตรเองก็น่าจะเจรจากันได้  2. ปฏิรูปการเมือง โดยควรระดมความเห็นเพื่อให้ทุกฝ่าย ช่วยกันคิดในสิ่งที่เรียกว่าการเมืองใหม่  3. เรื่องอื่นๆ เช่น การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า”  นายไพบูลย์  กล่าว

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/208790

<<< กลับ

สรุปผลการดำเนินงานของรองนายกรัฐมนตรี (ด้านสังคม) ตอนที่ 2

สรุปผลการดำเนินงานของรองนายกรัฐมนตรี (ด้านสังคม) ตอนที่ 2


ในฐานะประธานคณะกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ปัญหาหมอกควันภาคเหนือ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๗๙ /๒๕๕๐ ลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๐ ได้เร่งแก้ไขปัญหาหมอกควันอย่างเร่งด่วน ด้วยการทำปฏิบัติการฝนหลวง และตั้งศูนย์อำนวยการแก้ปัญหาหมอกควันภาคเหนือ เพื่อติดตามปัญหาอย่างใกล้ชิด

                อย่างไรก็ตามจากข้อมูลไฟป่าของหน่วยควบคุมไฟป่า กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช พบว่า การเกิดไฟป่าในปี ๒๕๕๐ สูงถึง ๗ ,๕๔๗ ครั้ง พื้นที่ถูกไฟไหม้ ๑๑๔,๙๔๐ ไร่ ซึ่งการเกิดไฟป่าสูงขึ้นถึง ๒ เท่า เมื่อเทียบกับปี ๒๕๔๙ ที่พบ ๔,๖๒๖ ครั้ง พื้นที่ถูกไฟไหม้ ๕๒,๙๓๕.๕ ไร่  คณะกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ปัญหาหมอกควันภาคเหนือ จึงได้จัดทำแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ปี ๒๕๕๑-๒๕๕๔ ภายใต้กรอบงบประมาณ ๔,๔๒๒.๘ ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว ใน ๓ ยุทธศาสตร์ คือ ๑.แผนควบคุมการเผาในพื้นที่ชุมชนและเกษตรกรรม ๒. แผนควบคุมไฟป่า และ ๓. แผนรณรงค์ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ พร้อมกับจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าระดับจังหวัดและระดับอำเภอ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการศูนย์ และมีภาคประชาชนเข้าร่วมเป็นกรรมการ

                ๓.๓  การพัฒนาระบบการบริหารงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้  (หน้า ๘๖) สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดจากปัญหาที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงในหลายมิติ และปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งคือ การบริหารจัดการของรัฐบาลในหลายรูปแบบ ไม่สามารถดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน จึงจำเป็นต้องกำหนดให้มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยระบบการบริหารจัดการเพื่อการสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. …  เพื่อให้เกิดการบูรณาการประสานความร่วมมือของทุกหน่วยงาน โดยมีสาระสำคัญคือ ให้มีคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่มอบหมายจากนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) เป็นฝ่ายเลขานุการ และให้มีการจัดทำนโยบายเสริมสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เกิดจากกระบวนการมีส่วนร่วม ตรงตามความต้องการ และสอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชน โดยบูรณาการการดำเนินงานของกระทรวง กรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการ และถือเป็นกรอบแนวทางให้ทุกหน่วยงานยึดถือปฏิบัติอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง พร้อมทั้งแปลงนโยบายยุทธศาสตร์ของส่วนราชการไปปฏิบัติในพื้นที่

                ๓.๔ การแก้ไขปัญหาผู้ประสบความเดือดร้อนในจังหวัดชายฝั่งอันดามัน ปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้ประสบภัยพิบัติจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ เนื่องจากไม่มีเอกสารสิทธิ์ ทำให้หลายชุมชนไม่สามารถกลับไปสร้างบ้านในที่เดิมที่เคยอยู่อาศัยได้ คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดิน จึงได้เข้าไปแก้ไขปัญหาจนได้ข้อยุติใน ๑๓ พื้นที่ รวม ๑,๑๕๖ ครัวเรือน และอยู่ระหว่างดำเนินการอีก ๕๘ พื้นที่ นอกจากนี้ยังได้สร้างบ้านพักถาวรโดยชุมชนมีส่วนร่วมในการสร้างบ้านพักของตนเอง ๙ ชุมชน ๓๕๐ ครัวเรือน

                ๓.๕ ส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค จากการปฏิบัติราชการในภูมิภาคที่ได้รับมอบหมาย ได้จัดโครงการสัมมนา “แนวทางการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการกำกับติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค” เมื่อวันที่ ๑๓-๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ณ โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่  เพื่อให้การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสนองตอบนโยบายรัฐบาล ส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆในการประสานความร่วมมือเพื่อนำนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติ โดยผลของการจัดสัมมนาครั้งนี้นำไปสู่ระบบ/กลไกภาคประชาชนร่วมกันติดตามผลการปฏิบัติงานภาครัฐ ผ่านการนำเสนอและสะท้อนข้อเท็จจริงในพื้นที่เพื่อให้การกำหนดนโยบายสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และเกิดการพัฒนากระบวนการทำงานร่วมอย่างสมดุลระหว่างภาครัฐและประชาชน

                ๔. การจัดงานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐(หน้า ๓๐)

                เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ คณะอนุกรรมการพัฒนาและบูรณาการโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้จัดทำ “โครงการทำดีเพื่อพ่อ” เพื่อรณรงค์ให้คนไทยร่วมกันทำความดี สนองพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๐ จนถึงวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ รวมระยะเวลา ๘๐ วัน มีประชาชนเข้าร่วมเขียนใบบันทึกความดี จำนวน ๑ ล้านใบ  จากไปรษณีย์ไทย ห้างสรรพสินค้า และหน่วยงานพันธมิตร พร้อมกับเสนอบทความทำดีเพื่อพ่อ โดยใบบันทึกความดีและบทความทำดี จะถูกรวบรวมเป็นจดหมายเหตุ  นอกจากนี้ยังได้ คัดเลือก “๑๐๐ตัวแทนคนดี ” จากทั่วประเทศ เพื่อเป็นต้นแบบของการทำความดี และเข้าร่วมรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐

                ในส่วนของคณะกรรมการอำนวยการโครงการเจ้าพระยาสดใสเทิดไท้องค์ราชัน ประกอบด้วยหน่วยงานจากทุกภาคส่วน ยังได้จัดทำ “โครงการเจ้าพระยาสดใสเทิดไท้องค์ราชัน” โดยจัดกิจกรรมรณรงค์ฟื้นฟูคุณภาพแม่น้ำเจ้าพระยา ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ และเป็นการสนองต่อพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ

                เนื่องจากจากผลสำรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ของสถานีตรวจคุณภาพน้ำ พบว่า คุณภาพน้ำเฉลี่ยอยู่ในระดับเสื่อมโทรมอย่างมาก มีเพียงสถานีเขื่อนเจ้าพระยา เพียง ๑ แห่ง ที่ยังมีสภาพน้ำที่ดี จึงประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการฟื้นฟูแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านการพัฒนาด้านกายภาพ พื้นที่ และชุมชน ตามแนวคิด “สวย สะอาด สะดวก ปลอดภัย และน่าสนใจ” โดยกำหนดเป็น ๗ มาตรการ ๔๙ โครงการ พร้อมกับส่งเสริมการท่องเที่ยวบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา

                ๕. กฎหมาย

– พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๐

– พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.๒๕๕๐

– พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ ฉบับที่ ๒

– พระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม ฉบับที่ ๒

– พระราชบัญญัติมาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.๒๕๕๐

– พระราชบัญญัติพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๐

– พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ

– พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดีทัศน์ พ.ศ.๒๕๕๐

– ร่างพระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน

– ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ

– ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมประชาสังคมในการพัฒนา

– ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการกองทุนซะกาต

– ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรม

– ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมสภาองค์กรชุมชน

– ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนากิจการสตรี

– ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาครอบครัว

– ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยระบบการบริหารจัดการเพื่อการเสริมสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้

                – ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ

– ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินและฟื้นฟูพัฒนาอาชีพเกษตรกรและผู้ยากจน

ฉายแนวคิดรองนายกรัฐมนตรี(ด้านสังคม) ผ่านบทเรียนแห่งการทำงาน

                ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่ต้องดูแลงานของกระทรวงทางสังคม รวมทั้งประเด็นทางสังคมต่างๆ จึงต้องประสานเชื่อมโยงงานของกระทรวงทางสังคม และประสานเชื่อมโยงภายใต้ประเด็นที่สำคัญ จึงได้มีการประชุมหารือผ่านวงประชุมที่มีอยู่แล้ว เช่น คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี หรือ จัดให้มีคณะกรรมการตามประเด็น เช่น คณะกรรมการสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อทำให้การดำเนินงานในเรื่องทางสังคมเกิดประสิทธิภาพและการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ระหว่างประเด็น และระหว่างองค์ประกอบต่างๆเข้าด้วยกัน

และเนื่องจากรองนายกรัฐมนตรี ต้องทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี รวมถึงการเป็นประธานคณะกรรมการชุดต่างๆ ผมได้ใช้ความพยายามทำให้คณะกรรมการทุกคณะ โดยเฉพาะคณะที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่สำคัญ หรือประเด็นวิกฤต เช่น ปัญหาหนี้สินเกษตรกร สามารถเดินหน้าไปได้อย่างเข้มแข้ง เกิดประสิทธิภาพ คุณภาพ และต่อเนื่อง จึงเห็นว่าจากเดิมที่บางคณะกรรมการไม่ได้ประชุม หรือประชุมน้อยมาก ก็ได้มีการประชุม และได้จัดการแก้ไขภาวะวิกฤติ พร้อมกับสร้างสรรค์งานพัฒนาใหม่ๆ ค่อนข้างมาก เช่น คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ คณะกรรมการเกี่ยวกับเด็ก เยาวชน และคนพิการ คณะกรรมการเกี่ยวกับปัญหาแรงงานต่างด้าว คณะกรรมการเกี่ยวกับการวิจัย การส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ

สำหรับงานเกี่ยวกับการดูแลพื้นที่ที่ได้รับมอบหมายในภาคเหนือตอนบน จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจังหวัดชายฝั่งอันดามัน ซึ่งได้ดำเนินการแก้ไขปัญหา และพัฒนาระบบการบริหารงาน เช่น การแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ   การแก้ไขปัญหาระบบการบริหารงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้  และการแก้ไขปัญหาผู้ประสบความเดือดร้อนในจังหวัดชายฝั่งอันดามัน

ในส่วนของการดูแลองค์การมหาชน ได้แก้ปัญหาให้เกิดการเดินหน้าไปได้อย่างสร้างสรรค์ ไม่ติดขัด โดยเฉพาะองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) จากเดิมที่ประสบปัญหาการถูกต่อต้านการทำงาน จึงได้ดึงกลุ่มคนเหล่านั้นเข้ามาร่วมในการบริหารจัดการ ทำงานร่วมกับคนกลางที่ทุกฝ่ายยอมรับ ทำให้งานสามารถเดินหน้าไปได้ รวมถึงสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) ที่ได้จัดตั้ง “ไทยทีม” เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมศักยภาพทางธุรกิจด้านตลาดการประชุมแสดงสินค้าและการท่องเที่ยว

ส่วนงานของกระทรวงทางสังคม ได้สนับสนุนให้แต่ละกระทรวงสามารถขับเคลื่อนงานสำคัญให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และเกิดการเชื่อมโยงบูรณาการมากขึ้น เช่น การช่วยให้เรื่องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองและคณะรัฐมนตรีได้รวดเร็วขึ้น ช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้คลี่คลายจนเกิดข้อสรุปด้วยดี

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาสังคมในภาพรวม ควรมองที่จุดแข็งและข้อดีของสังคมที่มีอยู่ และนำจุดแข็งมาเป็นพลังส่งเสริมให้เกิดจุดแข็งที่พอกพูน วิธีมองแบบสร้างสรรค์เช่นนี้ จะช่วยแก้ปัญหาและป้องกันปัญหาในระยะยาว ขณะเดียวกันต้องจุดอ่อนของสังคมเพื่อหาทางลดปัญหา ควบคู่ไปกับการค้นหาข้อดี และสร้างเสริมข้อดีไปพร้อมๆกัน นั่นคือ ไม่ควรเน้นการมองปัญหาสังคม และมัวแต่แก้ปัญหาแบบปลายเหตุ เพราะนอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว อาจจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาให้มากขึ้น แต่ถ้าเน้นจุดแข็งและข้อดีของคน ของชุมชน และสังคม จะช่วยให้ทั้งคน ชุมชน และสังคม มีจุดแข็งและข้อดี ขยายตัวมากขึ้น จึงเป็นการลดจุดอ่อน ข้อเสีย และป้องกันปัญหาของสังคมไปโดยปริยาย

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/162650

<<< กลับ

สรุปผลการดำเนินงานของรองนายกรัฐมนตรี (ด้านสังคม) ตอนที่ 1

สรุปผลการดำเนินงานของรองนายกรัฐมนตรี (ด้านสังคม) ตอนที่ 1


สรุปผลการดำเนินงาน

                                              ของรองนายกรัฐมนตรี (ด้านสังคม)

                                                                                  โดย ทีมงานของรองนายกรัฐมนตรี (ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม)

ภารกิจสำคัญของรัฐบาลอีกด้านหนึ่ง คือ การประคับประคองสังคมให้เกิดความสมานฉันท์ อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน ในสภาวการณ์ของความขัดแย้งทางสังคม

นับจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี โดยได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ให้รับผิดชอบงานด้านสังคม ซึ่งประกอบด้วย กระทรวงทางสังคม คือ กระทรวงกระท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข

ตลอดจนหน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๗๑ /๒๕๕๐ ให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย คือ คณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน สภานายกสภาลูกเสือแห่งชาติ คณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สภาวิจัยแห่งชาติ คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และคณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์

ประธานกรรมการที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี คือ คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ คณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานสตรีและสถาบันครอบครัวแห่งชาติ คณะกรรมการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน คณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนโครงการหลวง คณะกรรมการนโยบายและฟื้นฟูทะเลไทย คณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง คณะกรรมการปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ และคณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย

นอกจากนี้ยังรับมอบหมายให้กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ประกอบด้วย เขตตรวจราชการที่ ๑ เชียงราย เชียงใหม่ น่าน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง และลำพูน เขตตรวจราชการที่ ๒ ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย และอุตรดิตถ์ เขตตรวจราชการที่ ๑๗ กระบี่ พังงา และภูเก็ต เขตตรวจราชการที่ ๑๘ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา

รวมถึงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ (กกช.) ประธานคณะกรรมการสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประธานคณะกรรมการรวมพลังขับเคลื่อนสังคม และประธานคณะกรรมการประสานงานขับเคลื่อนวาระเพื่อเด็กและเยาวชน  เป็นต้น

ผลการดำเนินงานที่สำคัญ

การขับเคลื่อนงานทางสังคมที่ได้รับมอบหมาย ได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้

                ๑. งานนโยบายและยุทธศาสตร์

                ๑.๑ ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย การสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้มีรายได้น้อย ไม่ควรมุ่งเพียงการสร้างที่อยู่อาศัยทางวัตถุและราคาที่ผู้อยู่อาศัยสามารถรับได้เท่านั้น แต่ต้องมุ่งสร้างคน สร้างสังคม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ภายใต้เป้าหมาย “ปริมาณเพียงพอ มั่นคง ได้มาตรฐาน มีคุณภาพ และถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง” จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ ๗ ด้าน คือ ๑. ขับเคลื่อนที่อยู่อาศัยให้เป็นวาระแห่งชาติผ่านการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยในการบริหารแผนยุทธศาสตร์ ๒.พัฒนาที่ดินและลงทุนด้านสาธารณูปโภคที่สอดคล้องเกื้อกูลต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย ๓. สร้างระบบการเงินและระบบสินเชื่อที่เอื้อต่อการมีที่อยู่อาศัยของประชาชนในทุกระดับ ๔. สร้างขีดความสามารถและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการพัฒนาและบริหารจัดการที่อยู่อาศัย ๕. สร้างองค์ความรู้เรื่องที่อยู่อาศัยสู่ทุกภาคส่วนของสังคม ๖. ยกระดับคุณภาพของที่อยู่อาศัย และ ๗.สร้างมาตรฐานสู่คุณภาพของที่อยู่อาศัย

                ๑.๒ ยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ  ได้กระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในระยะเร่งด่วน ๗ แห่ง ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร สแกนดิเนเวีย และออสเตรเลีย ส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ผ่านการประชุมสัมมนาในประเทศไทย ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืนผ่านการพัฒนามาตรฐานโฮมสเตย์ไทย การจัดอบรมโครงการค่ายเยาวชนรักษ์การท่องเที่ยว โครงการพัฒนาบุคลากรเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โครงการอบรมผู้นำองค์กรปกครองท้องถิ่นเพื่ออนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยว เป็นต้น ส่งผลให้มีผู้นำองค์กรปกครองท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และเยาวชน พร้อมเป็นบุคลลากรอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว

                ๑.๓ ยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติ (พ.ศ.๒๕๕๑-๒๕๕๓) เพื่อให้การวิจัยสามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศได้อย่างแท้จริง สำนักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานด้านการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ใน ๕ ด้าน คือ ๑) การสร้างศักยภาพและความสามารถเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ๒) การสร้างศักยภาพและความสามารถเพื่อการพัฒนาทางสังคม ๓) การสร้างศักยภาพและความสามารถเพื่อการพัฒนาทางวิทยาการและทรัพยากรบุคคล ๔) การเสริมสร้างและพัฒนาทุนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ๕) การบริหารจัดการความรู้ ผลงานวิจัย ทรัพยากร และภูมิปัญญาของประเทศ สู่การใช้ประโยชน์ด้วยยุทธวิธีที่เหมาะสม โดยอยู่บนพื้นฐานของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยให้ความสำคัญของการมีส่วนร่วมทุกฝ่าย

                ๑.๔ นโยบายการขับเคลื่อนวาระเพื่อเด็กและเยาวชน ปี ๒๕๕๐ รัฐบาลเล็งเห็นคุณค่าในการพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศขับเคลื่อนวาระเพื่อเด็กและเยาวชน ปี ๒๕๕๐ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๐ ภายใต้ความร่วมมือของกระทรวงทางสังคม ประกอบด้วย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อดำเนินยุทธศาสตร์ ๕ ด้าน คือ

                                ๑) สื่อสร้างสรรค์สำหรับเด็กเยาวชนและครอบครัว ผ่านการจัดระดับความเหมาะสมของสื่อโทรทัศน์

                                ๒) กิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน โดยกระทรวงศึกษาจัดค่ายคุณธรรมนำความรู้สู่สังคม กิจกรรมนักเรียน นักศึกษา เยาวชนภาคฤดูร้อน ๑๗๙ โครงการ มีเยาวชนผ่านการอบรม ๑๐ ,๐๐๐ คน โครงการสร้างพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ในพื้นที่อบต./เทศบาล ๗๓๐ แห่ง ๗๕ จังหวัด

                                ๓) สถานรับเลี้ยงเด็ก ศูนย์พัฒนาเด็กและโรงเรียนอนุบาลที่มีคุณภาพ โดยกระทรวงมหาดไทย จัดตั้งศูนย์เด็กเล็กต้นแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสนับสนุนงบประมาณ ศูนย์ละ ๘๒๐ ,๐๐๐ บาท สนับสนุนอัตราผู้ดูแลเด็กเล็ก ๑ ต่อ ๑๘ คน

                                ๔) จังหวัดน่าอยู่สำหรับเด็กและเยาวชน ผ่านแผนยุทธศาสตร์จังหวัดน่าอยู่สำหรับเด็ก ๗ ด้าน คือ เมืองปลอดภัย เมืองสุขภาพ เมืองครอบครัว เมืองแห่งการเรียนรู้ เมืองที่คุ้มครองสิทธิเด็ก เมืองปลอดปัจจัยเสี่ยง และเมืองที่เด็กมีส่วนร่วม โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมฯจัดทำพื้นที่นำร่อง ๑๐ จังหวัด ๆ ละ ๑ ตำบล

                                ๕) กฎหมายครอบครัว เพื่อเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานให้กับครอบครัว ซึ่งเป็นสถาบันสำคัญในการอบรม เลี้ยงดู และพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เติบโตเป็นคนดี และมีความสุข

                ๑.๕ นโยบายการขับเคลื่อนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์  คณะกรรมการสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ภายใต้ความร่วมมือของกระทรวงและหน่วยงานทางสังคม ได้มุ่งพัฒนาให้สื่อที่มีอิทธิพลต่อเด็กและเยาวชนเป็นไปในทิศทางสร้างสรรค์ ผ่านยุทธศาสตร์ “ขจัดสื่อร้าย ขยายสื่อดี สร้างภูมิคุ้มกัน และพัฒนาระบบ” ผลของการขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์ ได้แก่ การปราบปรามสื่อผิดกฎหมาย โดยสันติบาลสามารถยึดของกลางรวมมูลค่ากว่า ๙,๙๒๔,๒๘๐ บาท ผลิตสื่อสร้างสรรค์ โดยกระทรวงศึกษาธิการจัดทำหลักสูตรอินเทอร์เน็ตปลอดภัยและสร้างสรรค์ในระดับโรงเรียน ซึ่งได้ทดลองในโรงเรียนต้นแบบ ๕ แห่ง พร้อมกับประกาศทดลองใช้ทั่วประเทศในภาคการศึกษาหน้า และผลักดันนโยบายรักการอ่าน ผ่านการประกวดสื่อสร้างสรรค์ในรูปแบบเว็บเพจและสารคดีสั้น การออกนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวของเด็กในโลกออนไลน์  และโครงการร้านเกมคาเฟ่และร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ปลอดภัยและสร้างสรรค์  พร้อมกับจัดทำร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. เพื่อให้เกิดการทำงานอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้คณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ ได้ดำเนินการจัดระดับความเหมาะสมของรายการโทรทัศน์ โดยปรากฏสัญลักษณ์บนรายโทรทัศน์ เพื่อแบ่งประเภทตามความเหมะสมของผู้ชมตามช่วงอายุ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือปกป้องเด็กในการบริโภคสื่อที่ไม่เหมาะสมกับวัยของตน และยังก่อให้เกิดรายการที่ส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับเด็ก รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์การโฆษณาที่มีผลต่อเด็กและเยาวชนทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พร้อมกับขอความร่วมมือหน่วยงานรัฐวิสาหกิจพิจารณาให้ความสำคัญในการสนับสนุนรายการสำหรับเด็ก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๐

๑.๖ นโยบายการส่งเสริมสวัสดิการสังคม ระบบสวัสดิการสังคมนับเป็นการดูแลสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน  เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงการบริการอย่างทั่วถึงและมีส่วนร่วม จึงได้พัฒนาระบบสวัสดิการสังคม ด้วยการแก้ไขพ.ร.บ.สวัสดิการสังคมให้ครอบคลุมสวัสดิการชุมชน ปรับปรุงระบบการบริหารจัดการกองทุนสวัสดิการสังคมให้มีประสิทธิภาพและกระจายไปสู่จังหวัด จัดสรรงบประมาณการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมให้เพิ่มขึ้น จากเดิมที่ได้เพียงปีละ ๖๐ ล้านบาท เป็น ๔๗๐ ล้านบาท ในปี ๒๕๕๐ และยังคงได้รับในจำนวนใกล้เคียงกัน คือ ๔๕๐ ล้านบาท ในปี ๒๕๕๑  พร้อมกับส่งเสริมการจัดสวัสดิการชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างโครงข่ายการคุ้มครองทางสังคมสำหรับประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งอยู่นอกระบบการประกันสังคม ให้ครอบคลุมดูแลทุกกลุ่มคน โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสหรือผู้ยากลำบาก ให้ได้รับสวัสดิการพื้นฐาน

๑.๗ การบูรณาการแก้ไขปัญหาเกษตรกร (หน้า ๘๐) ปัญหาหนี้สินเกษตรกร นับเป็นปัญหาที่พอกพูนมาช้านาน โดยไม่มีรัฐบาลชุดใดสามารถแก้ปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จถาวร เนื่องจากมุ่งแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ขณะที่ต้นเหตุของปัญหาเกิดจากหลายปัจจัย อันได้แก่ ปัญหาการบริหารจัดการของเกษตรกร ระบบบริหารจัดการของภาครัฐที่ไม่เอื้ออำนวย รวมถึงระบบเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นอุปสรรคขัดขวาง การแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร จึงต้องอาศัยการบูรณาการของแต่ละหน่วยงานร่วมกัน

ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการแก้ปัญหาหนี้สินเกษตรกร ได้กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จและถาวร ผ่านระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินและฟื้นฟูพัฒนาอาชีพเกษตรกรและผู้ยากจน พ.ศ. … เพื่อเป็นคณะกรรมการที่ดูแลการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรในภาพรวม โดยเชื่อมประสานและบูรณาการจากหลายหน่วยงาน พร้อมกับมีหน่วยงานที่ดำเนินงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนนโยบายและแนวทางของคณะกรรมการ ตลอดจนเอื้อให้ฝ่ายต่างๆได้ประสานความร่วมมือได้อย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ

พร้อมกันนี้ในระยะเร่งด่วนของการแก้ไขปัญหา คณะกรรมการกำกับและติดตามการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร ได้ตั้งจุดรับเรื่องร้องทุกข์ โดยมีสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ทำหน้าที่รับเรื่องร้องทุกข์จากเกษตรกร ควบคู่ไปกับมาตรการเชิงรุกผ่านโครงการ “คลินิกหนี้” ในทุกสาขาของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จึงสามารถชะลอการฟ้องร้อง การบังคับคดี และการถูกขายทอดตลาดโดยเฉพาะที่ดินของเกษตรกร รวมทั้งสิ้น ๑๐,๒๒๓ ราย และคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ดำเนินการชำระหนี้แทนเกษตรกร ๒,๔๖๒ ราย รวมมูลหนี้ ๓๕๑ ล้านบาท

๒ พัฒนาองค์กร  

เพื่อให้องค์กรที่สำคัญสามารถขับเคลื่อนงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้พัฒนาระบบการบริหารจัดการ ดังนี้

คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร จากเดิมที่ประสบภาวะสุญญากาศในการบริหารจัดการ เนื่องจากขาดองค์ประกอบของคณะทำงาน ในส่วนของผู้แทนภาคเกษตรกรและผู้ทรงคุณวุฒิ อีกทั้งยังประสบปัญหาความขัดแย้งภายใน จึงได้พัฒนาระบบผ่านการตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหา จนนำสู่การเลือกคณะทำงานจนครบองค์ประกอบ ส่งผลให้คณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรสามารถทำงานได้ โดยดำเนินการชำระหนี้แทนเกษตรกร ๑,๐๐๓ องค์กร ๓,๐๒๙ ราย ๓,๐๔๔ บัญชี รวมยอดชำระหนี้แทน ๔๒๖,๐๖๙,๖๖๐.๒๘ บาท

–  การเคหะแห่งชาติ เนื่องจากการดำเนินงานที่ผ่านมา ได้มุ่งเน้นเฉพาะการสร้างที่อยู่อาศัยในเชิงปริมาณ ผ่านโครงการบ้านเอื้ออาทร ส่งผลให้เกิดภาระหนี้ผูกพันของรัฐบาล โดยพบว่า หากการเคหะแห่งชาติ ดำเนินการครบตามแผนงานที่ตั้งไว้ จำนวน ๖๐๑,๗๒๗ หน่วย จะใช้วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๒๗๓,๒๐๙ ล้านบาท โดยรัฐต้องจัดสรรเงินอุดหนุนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ ๓๐,๒๐๐ ล้านบาท และจัดหาแหล่งเงินกู้เพื่อลงทุนอีก ๑๖๗,๒๙๓ ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อสิ้นปี ๒๕๕๕ การเคหะแห่งชาติจะรับภาระหนี้ประมาณ ๙๕,๕๐๐ ล้านบาท จึงได้ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ โดยระดมผู้ทรงวุฒิที่มีประสบการณ์ เป็นที่ปรึกษา และแก้ไขปัญหาองค์กร โดยลดจำนวนหน่วย และดำเนินการให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและความเหมาะสมในพื้นที่    

นอกจากนี้ยังได้พัฒนาแผนงานองค์กร ในทิศทางการพัฒนาเชิงสังคมและชุมชน ผ่านนโยบาย “เคหะชุมชนอยู่เย็นเป็นสุข” การพัฒนานโยบายการฟื้นฟูเมือง ในโครงการที่มีสภาพเก่าแก่ทรุดโทรม ผลักดันนโยบายเคหะชุมชนเพื่อการพัฒนาชีวิตและสังคม โดยร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น และภาคีพัฒนา จนเกิดกลุ่มออมทรัพย์ เพื่อเป็นฐานทางการเงินที่นำไปสู่ความสามารถในการรับภาระเรื่องที่อยู่อาศัย เกิดระบบสวัสดิการชุมชน และมีความเข้มแข็งในการบริหารจัดการชุมชน  โดยได้จัดทำโครงการนำร่อง ๑๒ โครงการ ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร ๓ โครงการ ปริมณฑล ๓ โครงการ และในภูมิภาค ๖ โครงการ

กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ จากรายงานผลการตรวจสอบโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ได้ประมาณการยอดหนี้ค้างชำระและเงินขาดบัญชีของกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศ ไม่น้อยกว่า ๘,๕๑๐ ล้านบาท ส่งผลให้เกิดการปรับการบริหารจัดการ ภายใต้แนวคิด “กองทุนต้องเป็นมากกว่าเงิน แต่เป็นศูนย์เรียนรู้เรื่องสถาบันการเงินชุมชน และดำเนินชีวิตให้สอดคล้องตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” โดยพัฒนาระบบการบริหารจัดการในกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพผ่านการปรับระบบการลงบัญชี โดยกรมบัญชีกลางเข้ามาพัฒนาระบบเพื่อให้เห็นตัวเลขผลประกอบการที่แท้จริง การตั้งคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อทำหน้าที่กลั่นกรองเรื่องสำคัญอย่างรอบคอบ ก่อนเสนอให้คณะกรรมการพิจารณา ปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อกระจายอำนาจสู่สำนักงานสาขาในภูมิภาค พร้อมกับปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติว่าด้วยการจัดตั้งและบริหารกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๐ เพื่อลดความซ้ำซ้อน

สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้จัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติ พ.ศ.๒๕๕๑-๒๕๕๓ เพื่อวางแนวทางการวิจัยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศ จัดทำข้อเสนอการปฏิรูประบบวิจัยของประเทศ โดยเน้นผู้ใช้ประโยชน์เป็นศูนย์กลาง การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ

องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) จากปัญหาร้องเรียนของเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อให้ยกเลิกการทำหน้าที่ของอพท. จึงนำสู่วิธีแก้ปัญหาด้วยการตั้งคณะกรรมการ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิภาคสังคม สิ่งแวดล้อม และที่ปรึกษาจากภาคประชาสังคม เข้าร่วมเป็นกรรมการ และได้ลงพื้นที่รับฟังข้อมูลเพื่อแนะนำการแก้ไขปัญหา โดยส่งเสริมกลไกการมีส่วนร่วมในพื้นที่ที่อพท.เข้าไปดำเนินการ เพื่อเปลี่ยนมิติจากการร้องเรียนเป็นให้การสนับสนุน พร้อมกันนี้ยังได้ปรับโครงสร้างในอพท. เพื่อเพิ่มหน่วยงานการมีส่วนร่วมในพื้นที่

สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) ได้ตั้งคณะกรรมการที่มาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่หลากหลาย และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจ ภาคราชการ และภาควิชาการ ร่วมเป็น “ไทยทีม” เพื่อร่วมผลักดันธุรกิจด้านตลาดการประชุมแสดงสินค้าและการท่องเที่ยว ให้มีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ

                ๓. งานพัฒนาเชิงพื้นที่ 

                ๓.๑ ขับเคลื่อนการบูรณาการงบประมาณรายจังหวัด จากการตรวจราชการในพื้นที่ จ.พิษณุโลก อุตรดิตถ์ สุโขทัย และตาก ได้พบปัญหาการจัดการงบประมาณในพื้นที่ โดยแต่ละจังหวัดไม่มีงบประมาณสำหรับการป้องกันปัญหา เนื่องจากต้องถูกประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ จึงสามารถได้รับการอนุมัติงบ ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที และการประกาศเขตภัยพิบัติยังกระทบต่อการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยว จึงเกิดแนวคิดการพัฒนาระบบบูรณาการแผนงานและงบประมาณของจังหวัด เพื่อให้จังหวัดสามารถตั้งงบประมาณให้สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระดับชาติ และตรงความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นในจังหวัดอย่างเป็นรูปธรรม โดยกระจายอำนาจให้จังหวัดและท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งการบริหารงาน คน และงบประมาณ

                การบูรณาการแผนงานและงบประมาณของจังหวัด จึงเกิดจากการประสานแผนงาน/งบประมาณ ที่เชื่อมโยงใน ๓ มิติ ได้แก่ มิติทางดิ่ง คือ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ท้องถิ่น และชุมชน มิติทางราบ คือ ระหว่างหน่วยงานที่เป็นผู้แทนของกระทรวงต่างๆในจังหวัด และมิติเวลาที่สัมพันธ์สอดคล้องกัน คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ เห็นชอบให้กระทรวงจัดทำข้อมูลแผนงาน/โครงการและงบประมาณประจำปี พ.ศ.๒๕๕๑ ทุกประเภทที่ดำเนินการในจังหวัด จำนวน ๗๔ จังหวัด (ยกเว้นจังหวัดพิษณุโลก) ไม่ว่าจะเป็นงบบุคลากร และงบดำเนินงาน เพื่อให้เกิดการบูรณาการแผนงานและงบประมาณของจังหวัดอย่างต่อเนื่อง

                ๓.๒ แก้ไขปัญหาหมอกควันในภาคเหนือ (หน้า ๒๗) จากสถานการณ์ในช่วงต้นปี ๒๕๕๐ พื้นที่ภาคเหนือตอนบนได้ประสบปัญหาหมอกควันอย่างรุนแรง โดยตรวจพบการเพิ่มขึ้นของปริมาณฝุ่นขนาดเล็ก ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ จนกระทั่งสูงขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๐ ประกอบกับมวลอากาศเย็นเริ่มปกคลุมพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ส่งผลให้ฝุ่นละอองสามารถแขวนลอยอยู่ในบรรยากาศได้นาน ไม่สามารถแพร่กระจายออกไปได้ ก่อให้เกิดสภาพฟ้าสลัว มีหมอกควันปกคลุม ทัศนวิสัยต่ำกว่า ๑ กิโลเมตร

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/162645

<<< กลับ

สรุปผลการดำเนินงานกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) (ตอนที่ 3)

สรุปผลการดำเนินงานกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) (ตอนที่ 3)


นอกจากนั้น  ยังมีร่างกฎหมายอีกหลายฉบับที่ค้างอยู่ในกระบวนการขั้นตอนต่างๆ  มีทั้งส่วนที่น่าจะเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาและฟื้นฟูจังหวัดชายแดนภาคใต้  เช่น  (ร่าง) พระราชบัญญัติฟื้นฟู ชุมชนและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชายแดนภาคใต้  และ  (ร่าง) พระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการกองทุนซะกาต   และส่วนที่เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  เช่น  (ร่าง) พระราชบัญญัติคนขอทาน,  (ร่าง) พระราชบัญญัติหอพัก,  (ร่าง) พระราชบัญญัติปราบปรามวัตถุยั่วยุพฤติกรรมอันตราย   จึงหวังว่ารัฐบาลและรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบงานด้านสังคมในช่วงต่อไปจะได้พิจารณาด้วยความรอบคอบ

๒. การปรับโครงสร้างองค์กรและการพัฒนาศักยภาพบุคลากร

                เพื่อให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีโครงสร้าง  การแบ่งกลุ่มงาน   และการพัฒนาบุคลากรอย่างเป็นระบบสำหรับรองรับกฎหมายใหม่  สอดคล้องกับสภาพปัญหาสังคมทั้งในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต  ทั้งในระดับโลก  ระดับประเทศ  และระดับท้องถิ่น  ตลอดจนสอดคล้องกับข้อตกลง  อนุสัญญา  กติกา  และความร่วมมือระหว่างประเทศที่นับวันจะมีบทบาทมากขึ้น

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีความจำเป็นต้องเอาใจใส่ต่อการปรับ โครงสร้างและพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างจริงจัง   ซึ่งจะสามารถสร้างความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดูแลสงเคราะห์  จัดสวัสดิการ  และพัฒนากลุ่มเป้าหมายเฉพาะ  เช่น  เด็ก  เยาวชน  สตรี  คนพิการ  ผู้ด้อยโอกาส  ผู้สูงอายุ  และกลุ่มชาติพันธุ์  ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนั้น   กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ยังต้องให้ความสำคัญต่อการพัฒนากลไกการศึกษา  เฝ้าระวังปัญหาและแจ้งเตือนภัยทางสังคม  รวมทั้งการพัฒนาหน่วยงานเพื่อรองรับบทบาทการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจเพื่อสังคม  ภาคประชาสังคม  ระบบอาสาสมัคร  งานวิชาการ  และการรวบรวมข้อมูลอย่างเท่าทันเหตุการณ์อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม    ในช่วงระยะเวลาที่จำกัด   เราได้ดำเนินการไปได้ในระดับหนึ่งแล้ว

จึงหวังว่าฝ่ายนโยบายและคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงจะได้พิจารณาสานต่อตามสมควรเช่นกัน

๓. การปฏิบัติงานตามภารกิจประจำของกระทรวง

เพื่อให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีผลงานเชิงคุณภาพ  สร้างคุณค่าให้สังคมอย่างต่อเนื่อง  ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ช่วยแบ่งเบาภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  โดยกำกับดูแลงานประจำของข้าราชการทั้งในระดับส่วนกลางและส่วนภูมิภาค  โดยให้ความสำคัญกับการเสนอแนะแนวความคิดใหม่  หรือนวัตกรรมการทำงานพัฒนาสังคม  การสร้างขวัญกำลังใจบุคลากร  การดำเนินการกระบวนการเพื่อให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์สามารถธำรงไว้ซึ่งมาตรฐานการทำงานบนหลักจริยธรรม  จรรยาบรรณ  และธรรมาภิบาล  เพื่อศักดิ์ศรีของข้าราชการและเกียรติภูมิของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

การแก้ปัญหาเร่งด่วนที่เป็นความรับผิดชอบของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  อาทิ  กรณีโครงการบ้านเอื้ออาทร  กรณีแฟลตดินแดง  การไล่รื้อชุมชนสลัม  หวย  โควตาสลากกินแบ่งรัฐบาลสำหรับผู้พิการ  แก็งค์ลักเด็ก  การกระทำรุนแรงในครอบครัวและในสังคม  การล่วงละเมิดและคุกคามทางเพศ  สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก-เยาวชน  ปัญหาหอพัก  สื่อและอินเทอร์เน็ตลามก  ฯลฯ

ทุกปัญหามีภาวะความขัดแย้ง  ความกดดัน  การเผชิญหน้า  แต่ด้วยวิธีการที่เราให้เกียรติ  รับฟัง  วิจัย  ค้นคว้า  วิเคราะห์  และค้นหาทางออกทางเลือกที่ดีที่สุดเป็นไปได้มากที่สุด  โดยมีหลักการ  และมีกระบวนการมีส่วนร่วมจริงจัง  ทำให้หลายปัญหาสามารถคลี่คลายและบรรเทาลงได้

๔. การขยายเครือข่ายองค์กรพันธมิตร

ด้วยตระหนักว่าภาระงานด้านพัฒนาสังคมจะลุล่วงสมบูรณ์ทั่วถึง  มิใช่เพียงลำพังข้าราชการ  และทรัพยากรของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เท่านั้น  แต่ต้องด้วยการผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนในสังคมเป็นสำคัญ  ทั้งจากสถาบันทางสังคม  สถาบันวิชาชีพ  หน่วยงานภาครัฐ  ภาคเอกชน  ภาคชุมชน  ภาคประชาสังคม  และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

คณะทำงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สังคมจังหวัด  คณะกรรมการเครือข่ายองค์กรชุมชนจังหวัด  และคณะทำงานเครือข่ายยุทธศาสตร์ตามประเด็นปัญหาต่างๆ  คือรูปธรรมที่เป็นองค์การเชิงเครือข่าย ( Networking   Organization)   ที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาสนับสนุนงานและมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทาง  วิธีการ  ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับชาติในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนั้น  ยังได้ผลักดันมาตรการสนับสนุนทางนโยบายและทางกฎหมาย  เช่น  มาตรการด้านภาษีที่เอื้อต่อการให้และอาสาช่วยเหลือสังคม  การออกระเบียบที่เอื้อต่อการให้ผู้ทำงานภาครัฐและเอกชนได้มีโอกาสทำงานเพื่อสังคม  การจัดกิจกรรมรณรงค์ระดับประเทศ  การพัฒนาระบบสวัสดิการท้องถิ่นโดยบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  การจัดตั้งเครือข่ายนักธุรกิจเพื่อสังคม  เครือข่ายประชาสังคมเพื่อการพัฒนา

ทุนเชิงเครือข่ายและทุนทางสังคมของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เหล่านี้  ล้วนมีความหมายอย่างยิ่งต่อบทบาทของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในระยะยาว

๕. การหนุนเสริมภารกิจที่เป็นระเบียบวาระของประเทศ \

                ด้วยระลึกเสมอว่า  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีภาระหน้าที่ในการปกป้อง  คุ้มครอง  ดูแลสิทธิและศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์  รวมทั้งสวัสดิภาพ  สวัสดิการ  ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมด้านต่างๆ ของประชาชนกลุ่มต่างๆ ในสังคม   ดังนั้น  เราจึงได้ให้ความสำคัญกับปัญหาที่เป็นวาระของประเทศ  อันได้แก่  สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้  การพัฒนาบรรยากาศและจิตสำนึกประชาธิปไตย  การลดปัญหาความรุนแรงและแตกแยกทางสังคม  การสร้างสังคมสันติยุติธรรม

ในแต่ละเรื่องที่เป็นระเบียบวาระของประเทศดังกล่าว  เราได้ดำเนินโครงการและกิจกรรมที่มีลักษณะเป็นนวัตกรรมที่สร้างผลสะเทือนและผลกระทบที่แตกต่างจากการดำเนินงานของราชการทั่วไปอยู่ไม่น้อย  อาทิ  โครงการเยียวยาและฟื้นฟูผู้รับผลกระทบจากความรุนแรงจังหวัดชายแดนภาคใต้,  โครงการเครือข่ายอาสาสมัครดูแลผู้บาดเจ็บและผู้ป่วยฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้,  โครงการส่งเสริมบทบาท ปอเนาะเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเข้มแข็ง,  โครงการพัฒนาระบบกองทุนซะกาตดูแลเด็กกำพร้าในชุมชนมุสลิม,   โครงการผลิตละครโทรทัศน์เรื่องยาว “รายากุนิง” ,   โครงการเวทีประชาธิปไตยชุมชนเพื่อความมั่นคงของมนุษย์ ๙๒๖ เวที,  โครงการคลินิกสันติยุติธรรม,  ศูนย์สนับสนุนการป้องกันและลดความรุนแรง  ฯลฯ

๕. การสื่อสารสาธารณะ

การรายงานต่อสังคมผ่านสื่อสารสาธารณะและสื่อมวลชนถือเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  โดยมุ่งหวังให้สังคมรับรู้  เข้าใจ  สนับสนุน  และมีส่วนร่วมกับการทำงานเพื่อสังคมกับภาครัฐและรัฐบาล

นอกจากการทำงานร่วมกับสื่อมวลชนเพื่อระดมและรับฟังความคิดเห็น  ความต้องการของสมาชิกสังคมกลุ่มต่างๆ อย่างกว้างขวาง  และการสื่อสารกับสังคมผ่านสื่อมวลชน  ทั้งวิทยุกระจายเสียง  โทรทัศน์  และสื่อสิ่งพิมพ์เป็นระยะ  อย่างสม่ำเสมอและสอดรับกับสถานการณ์ในวาระงานแล้ว  เรายังได้นำนโยบาย  แผนงาน  รวมทั้งประเด็นทางสังคมเข้าสู่เวทีสาธารณะผ่านสื่อมวลชน  เพื่อสร้างวัฒนธรรม  “ประชาเสวนาร่วมค้นหาทางออกเพื่อสังคม”   อีกด้วย

อาทิ  จัดวาระพิเศษ “สภาชาวบ้าน”   ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์  อสมท.   ในประเด็น เด็ก  เยาวชน  สตรี  ผู้พิการ  และสวัสดิการสังคม  รวมทั้งรายการ “ประชาเสวนาเพื่อประชาธิปไตยชุมชน” ด้วย

ร่วมมือกับเนชั่นแชนแนลผลิตชุดรายการโทรทัศน์  “๘ โจทย์สำคัญของแผ่นดิน”  ให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายร่วมกันตั้งโจทย์  แตกโจทย์  ตอบโจทย์  ซึ่งสามารถกระตุ้นพรรคการเมือง  นักการเมือง  และสังคมได้อย่างมากทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐

ผลิตรายการโทรทัศน์ “พบรัฐมนตรี”   โดยเชิญรัฐมนตรีกระทรวงด้านสังคมทุกกระทรวงมาร่วมสื่อสารสู่สาธารณะผ่านไททีวีช่อง ๑  และ เคเบิลทีวีช่อง ๒๘ ทั่วประเทศ

และด้วยตระหนักว่างานด้านสังคมมีความเป็นพลวัตรไม่หยุดนิ่ง  การทำงานที่ต่อเนื่องทั้งงานประจำ  งานนโยบาย  และงานนวัตกรรม  ในช่วง  ๑ ปีล้วนมีองค์ความรู้  และประสบการณ์ที่มีคุณค่าสะสมอยู่  เราจึงได้ผลิตเอกสารเพื่อบันทึกและเผยแพร่งานสำคัญเอาไว้เป็นข้อมูล  ความรู้  เพื่อประโยชน์ของผู้ปฏิบัติงาน  เพื่อกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  และเพื่อสังคมต่อไป

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/162481

<<< กลับ