สรุปผลการดำเนินงานกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) (ตอนที่ 2)

สรุปผลการดำเนินงานกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) (ตอนที่ 2)


๓.๒ โครงการส่งเสริมการทำความดี

( ๑ ) โครงการแผนที่คนดีเรื่องดี – แกะรอยแผนที่ตามหาคนดี ๑๐๐ ตัวอย่าง  เผยแพร่ทางโทรทัศน์  หนังสือและ วีซีดี

( ๒ )  สานฝัน ๘๐ ความดีถวายในหลวง – ๘๐ คน ๘๐ เรื่องราวของตัวอย่างผู้ด้อยโอกาส และผู้พิการของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ

( ๓ )  ประกาศเชิดชูเกียรติเยาวชนดีเด่นแห่งชาติและผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเยาวชน  ประจำปี ๒๕๕๐ ๑๑ สาขากิจกรรม  จำนวน ๑๕๖ ราย

( ๔ )  ประกาศเกียรติคุณบุคคล  องค์กร  และสถานประกอบการดีเด่นด้านสนับสนุนผู้พิการ  ประจำปี ๒๕๕๐ จำนวน ๓๓ ราย

( ๕ )  ประกาศเกียรติคุณอาสาสมัครดีเด่นของชาติประจำปี ๒๕๕๐ จำนวน ๑๗๙ ราย  และองค์กรที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น ๑๕ องค์กร

๓.๓   สนับสนุนแผนงานส่งเสริมชีวิตมั่นคงปลอดอบายมุข    ร่วมมือกับศูนย์คุณธรรม  มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ  และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส. )   ดำเนินโครงการใน ๕ จังหวัดนำร่อง (น่าน,ตราด,พัทลุง,นครราชสีมา และ กรุงเทพมหานคร)  เพื่อสร้างความรู้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนแม่บทส่งเสริมชีวิตมั่นคงปลอดอบายมุข พ.ศ. ๒๕๕๐ – ๒๕๕๒

๔. ขับเคลื่อนทางด้านกฎหมาย

                 เพื่อให้ยุทธศาสตร์สังคม สามารถดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในระยะยาว จึงได้ผลักดันการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

๔.๑ พระราชบัญญัติที่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติแห่งชาติ   จำนวน ๘ ฉบับ

( ๑ )   พระราชบัญญัติการเคหะแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒ )  พ.ศ. ๒๕๕๐

( ๒ ) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่   ) พ.ศ. ๒๕๕๐

(๓)    พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว  พ.ศ. ๒๕๕๐

(๔) พระราชบัญญัติการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ  พ.ศ. ๒๕๕๐

(๕) พระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม (ฉบับที่ ๒ )  พ.ศ. ๒๕๕๐

(๖)  พระราชบัญญัติพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ  พ.ศ. ๒๕๕๐

(๗)  พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน  พ.ศ. ๒๕๕๐

(๘)  พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์  พ.ศ. ๒๕๕๐

๔.๒ พระราชกฤษฎีกาที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา   จำนวน  ๑ ฉบับ

พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ๒ ) พ.ศ. ๒๕๕๐

๔.๓ ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๕ ฉบับ

(๑) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ  พ.ศ. ๒๕๕๐

(๒) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมสภาองค์กรชุมชน  พ.ศ. ๒๕๕๐

(๓) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมสถาบันครอบครัว  พ.ศ. ๒๕๕๐

(๔) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมกิจการสตรี  พ.ศ. ๒๕๕๐

(๕) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติ  พ.ศ. ๒๕๕๐

๔.๔ (ร่าง) พระราชบัญญัติที่อยู่ในระหว่างขั้นตอน/กระบวนการ   จำนวน ๘ ฉบับ

( ๑ ) ร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. …(สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)

( ๒ ) ร่าง พ ระราชบัญญัติส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ  พ.ศ. … (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับคืนจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)

 

( ๓ ) ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมประชาสังคมเพื่อการพัฒนา พ.ศ. … (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับคืนจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)

( ๔ ) ร่างพระราชบัญญัติฟื้นฟูชุมชนและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชายแดนภาคใต้  พ.ศ. …  (สำนักงานเลขาธิการ   คณะรัฐมนตรี)

(๕) ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการกองทุนซะกาต  พ.ศ. …  (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)

( ๖ ) ร่า งพระราชบัญญัติปราบปรามวัตถุยั่วยุพฤติกรรมอันตราย  พ.ศ. … (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)

(๗) ร่างพระราชบัญญัติคนขอทาน พ.ศ…(สำนักงานคณะกรรมกา รก ฤษฎีกา)

(๘) ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมสถาบันครอบครัว  พ.ศ. ….  (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับคืนจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)

ฉายแนวคิด “ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม”

                                              รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

                                                                               ผ่านบทเรียนแห่งการทำงาน

นับจากการเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สิ่งแรกที่คิดคือ งานพัฒนาสังคมควรมียุทธศาสตร์อย่างไร เพราะการทำงานของรัฐบาลควรเน้นนโยบายและยุทธศาสตร์ โดยรัฐมนตรีควรบริหารงานเชิงยุทธศาสตร์ จึงได้หารือกับผู้ทรงคุณวุฒิ จนสรุปเป็นยุทธศาสตร์ ๓ ด้าน คือ ยุทธศาสตร์สังคมไม่ทอดทิ้งกัน ยุทธศาสตร์สังคมเข้มแข็ง และยุทธศาสตร์สังคมคุณธรรม โดยทั้ง ๓ ด้าน ต้องเกี่ยวข้อง สนับสนุน และปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

จากยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ จึงสามารถแปรเป็นนโยบาย แนวทาง รวมถึงมาตรการได้อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นผลให้ผมและทีมงานร่วมกันพัฒนาแนวทางและมาตรการตามยุทธศาสตร์สังคม ๓ ด้านในเวลาต่อๆมา

ตลอดระยะเวลา ๑ ปีเศษของการทำงาน ผลงานที่ประทับใจมากที่สุดคือ การที่เราได้คิดและทำเชิงยุทธศาสตร์ จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งระบบคิดและระบบทำของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงการจัดให้มีกลไกในระดับจังหวัดเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาสังคมเป็นรายจังหวัด ซึ่งกระจายกลไกนี้ไปถึงระดับท้องถิ่น และเน้นการทำงานที่ท้องถิ่นและชุมชน เป็นตัวตั้ง โดยทุกฝ่ายได้ประสานความร่วมมือกัน

การทำงานของกระทรวงตามแนวยุทธศาสตร์ และมีกลไกการกระจายพลังออกไปถึงจังหวัดและท้องถิ่น และมีการรวมพลังในแต่ละจังหวัดและท้องถิ่น จนเกิดการขับเคลื่อนร่วมกันนั้น  ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ซึ่งเป็นการพัฒนาสังคม รวมถึงสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุมและบูรณาการในทุกๆเรื่อง รวมถึงสวัสดิการสังคมที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนต่างๆ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ อันได้แก่ เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ ผู้สูงอายุ และครอบคลุมการพัฒนาครอบครัว การพัฒนาสตรี ตลอดจนการพัฒนาชุมชน และการพัฒนาที่อยู่อาศัย ฯลฯ

ถือว่าการทำให้การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงระบบสวัสดิการต่างๆเกิดพัฒนาการแบบ “กระจายกว้างลงสู่ฐานราก” และบูรณาการทั้งเชิงกลุ่มคนและเชิงประเด็น ซึ่งถือเป็นผลงานที่น่าพึงพอใจ แต่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะดีไปหมดหรือเสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยจะเป็นการปูพื้นฐานเรื่องการวางโครงการ จัดกลไก ดำเนินมาตรการต่างๆไปในทิศทางที่มีพลังมากขึ้น เข้มแข็งมากขึ้น สร้างสรรค์มากขึ้น และควรจะมีความมั่นคงยั่งยืนมากขึ้น ทั้งหมดนี้รวมถึงการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นจากในอดีต โดยเฉพาะการเพิ่มงบประมาณการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม จากเดิมที่ได้เพียงปีละ ๖๐ ล้านบาท มาเป็น ๔๗๐ ล้านบาท ในปี ๒๕๕๐ และยังคงได้รับในจำนวนใกล้เคียงกัน คือ ๔๕๐ ล้านบาท ในปี ๒๕๕๑

นอกจากการจัดสวัสดิการสังคมแล้ว การพัฒนาชุมชน ได้ส่งเสริมขบวนการชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง โดยทำให้ฐานที่มีอยู่แล้ว เกิดการขยายฐานและเสริมสร้างสิ่งใหม่ เช่น การส่งเสริมและขยายผลเกี่ยวกับการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชน การมีระบบสวัสดิการชุมชนให้เดินหน้าไปได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่การพัฒนาที่อยู่อาศัย ได้คลี่คลายปัญหาวิกฤตที่สะสมมาจากอดีต โดยการสร้างสรรค์ทิศทางใหม่ รวมถึงการมีแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย

และสิ่งที่ได้ปูพื้นฐาน วางแนวทาง ตลอดจนงบประมาณต่างๆ ถือเป็นแนวทางที่ควรจะสานต่อ โดยเฉพาะการกระจายพลังไปที่จังหวัดและท้องถิ่น ตลอดจนการสนับสนุนให้รวมพลัง ณ จังหวัดและท้องถิ่น เป็นการรวมพลังหลายฝ่ายและหลายด้าน น่าจะเป็นหนทางที่นำสู่การสร้างความเข้มแข็ง รวมถึงการสร้างความสามารถในการจัดการร่วมกันของชุมชน ประชาชน หน่วยงาน และองค์กรต่างๆ ให้เป็นไปในทางของการรวมพลังสร้างสรรค์ให้ดียิ่งขึ้น เพราะจะเป็นการสร้างฐานรากที่แข็งแกร่ง และความสามารถที่ฐานราก โดยเฉพาะความสามารถในการจัดการร่วมกัน ซึ่งจะเป็นการสร้างสังคมที่เข้มแข็งอย่างแท้จริง

“ชุมชน” จึงถือเป็นฐานรากที่สำคัญของสังคม ฉะนั้นการมีชุมชนเข้มแข็ง สามารถจัดการตนเองในเรื่องต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สุขภาพ สวัสดิการ คุณธรรมและจริยธรรม จะถือเป็นฐานรากที่แข็งแรง และกระจายอยู่ทั่วทั้งสังคม เป็นฐานรากเล็กๆ แต่เมื่อรวมกันแล้วจะสามารถค้ำยันสังคมให้มีความเข้มแข็งมั่นคง จึงถือว่างานพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชน เป็นงานที่สำคัญมาก เพราะเกี่ยวข้องกับทุกเรื่อง และเกี่ยวข้องกับชีวิตคน ชุมชนจึงเป็นที่บูรณาการของทุกอย่างในสังคมได้อย่างดี

 

ฉายแนวคิด “พลเดช ปิ่นประทีป”

                                       รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

                                                                                   ผ่านบทเรียนแห่งการทำงาน

ในฐานะเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ช่วง ๕ เดือนแรก  และฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ช่วง ๑๐ เดือนหลัง  ผมมีโอกาสได้ช่วยในการบริหารนโยบายและกำกับดูแลการดำเนินงานเชิงยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  เพื่อรองรับยุทธศาสตร์สังคมแห่งชาติอย่างต่อเนื่องและค่อนข้างเต็มตัว  แต่ด้วยข้อจำกัดทางด้านระยะเวลาการทำงานที่มีเพียงแค่ 15 เดือน  จึงต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษใน ๖ ภารกิจหลัก  ซึ่งขอสะท้อนมุมมองส่วนตัวดังต่อไปนี้

๑. การพัฒนากฎหมายสำคัญให้เป็นเครื่องมือการทำงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

เนื่องจากการแก้ปัญหาสังคมและการพัฒนาประเทศเพื่อความมั่นคงของมนุษย์นั้นมีมิติที่ซับซ้อน  มีความเป็นพลวัตรสูง  ต้องอาศัยระยะเวลาและการประสานร่วมมือระหว่างกระทรวงและหน่วยงานที่หลากหลายมาก  การมีกฎหมายเชิงส่งเสริมจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

แต่ด้วยเหตุที่กฎหมายไทยที่มีอยู่ส่วนใหญ่ยังคงให้น้ำหนักกับบทลงโทษ  สำนักคิดและสถาบันทางกฎหมายในปัจจุบันจึงคุ้นชินต่อกฎหมายที่ออกมาเพื่อบังคับลงโทษมากกว่ากฎหมายในเชิงส่งเสริมสนับสนุนสังคมให้มีกระบวนการเรียนรู้และจัดการปัญหาด้วยตนเอง  อันเป็นกระบวนทัศน์ใหม่

อย่างไรก็ตามในภาพรวมการทำงาน ๑๕ เดือนที่ผ่านมา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีผลงานการพัฒนากฎหมายอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ  กล่าวคือ สามารถผ่านพระราชบัญญัติรวม ๘ ฉบับ,  พระราชกฤษฎีกา ๑ ฉบับ  และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ๕ ฉบับ

โดยแม้ว่า (ร่าง) พระราชบัญญัติที่ถือเป็นกฎหมายเชิงยุทธศาสตร์ ๔ ฉบับ  อันได้แก่  (ร่าง) พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน,  (ร่าง) พระราชบัญญัติส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ,  (ร่าง) พระราชบัญญัติส่งเสริมประชาสังคมเพื่อการพัฒนา  และ (ร่าง) พระราชบัญญัติส่งเสริมครอบครัว  จะไม่สามารถออกเป็นกฎหมายได้  แต่คณะรัฐมนตรีก็ยังคงเห็นความสำคัญให้ออกเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  สำหรับเป็นเครื่องมือในการทำงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นการทดแทน  ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ดี   แนวคิดและความพยายามในการยกร่างและผลักดันเสนอกฎหมายทุกฉบับ  โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของสังคม  โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายและภาคีที่เกี่ยวข้องโดยตรงนั้น  ได้สร้างความตื่นตัว  ความสนใจจากสาธารณะและสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง  ทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการสร้างโจทย์ต่อหน่วยงานด้านกฎหมาย  ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนว่า  ถึงเวลาหรือยังในการปรับกระบวนทัศน์และวัฒนธรรมการออกกฎหมาย  โดยให้ความสำคัญต่อกฎหมายเชิงส่งเสริมให้มากขึ้น  อย่างเท่าเทียมกับกฎหมายเชิงควบคุม  บังคับและลงโทษที่มีอยู่แล้วเป็นจำนวนมาก

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/162480

<<< กลับ

สรุปผลการดำเนินงานกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) (ตอนที่ 1)

สรุปผลการดำเนินงานกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) (ตอนที่ 1)


กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)  

โดย ทีมงานของ รมว. และ รมช.พม.

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งมีภารกิจสำคัญในการสร้างสวัสดิภาพ สวัสดิการ และพัฒนามาตรฐานชีวิตที่ดีแก่ประชากรกลุ่มต่างๆในสังคม โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายพิเศษ เช่น เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ ผู้สูงอายุ สตรี กลุ่มชาติพันธุ์ และสถาบันครอบครัว ตลอดจนส่งเสริมชุมชนและสังคมให้เข้มแข็ง

รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเมื่อ  ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๙  กำหนดให้การบริหารราชการแผ่นดินมุ่งสร้างสังคมเข้มแข็ง  คนในชาติอยู่เย็นเป็นสุขอย่างสมานฉันท์ บนพื้นฐานของคุณธรรม

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จึงได้นำนโยบายของรัฐบาลมากำหนดเป็นยุทธศาสตร์สังคม (หน้า ๑๓) ใน ๓ ด้าน คือ สังคมไม่ทอดทิ้งกัน สังคมเข้มแข้ง และสังคมคุณธรรม โดยจุดมุ่งหมายของการพัฒนาเพื่อให้เป็นสังคมที่พึงปรารถนา คือ สังคมแห่งความดีงามและอยู่เย็นเป็นสุข

ผลการดำเนินงานที่สำคัญ

จากยุทธศาสตร์ทางสังคม ทั้ง ๓ ด้าน ได้แปรเป็นนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้

๑. ยุทธศาสตร์สังคมไม่ทอดทิ้งกัน เพื่อระดมพลังทางสังคมในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและผู้ยากลำบาก

๑.๑ ส่งเสริมการจัดระบบ สวัสดิการท้องถิ่น จัดสำรวจผู้ถูกทอดทิ้งในทุกตำบลและให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น สนับสนุนให้

คณะทำงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สังคมในแต่ละจังหวัดจัดทำแผนการช่วยเหลือผู้ยากลำบาก เพื่อช่วยเหลือผู้ยากลำบากและผู้ด้อยโอกาส จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ คน สนับสนุนงบประมาณเพื่อส่งเสริมการจัดระบบสวัสดิการชุมชน จากงบกลาง ปี ๒๕๕๐ ให้การช่วยเหลือผู้ถูกทอดทิ้งในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาล เฉลี่ยแห่งละ ๑๐ ,๐๐๐ บาท และสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม โดยนำร่องใน ๕ จังหวัด คือ ขอนแก่น ลำปาง พัทลุง และกรุงเทพมหานคร จังหวัดละ ๑ ล้านบาท

๑.๒ สร้างความสมานฉันท์ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีเป้าหมายในการปกป้อง และรักษาทุนทางสังคมในพื้นที่ไว้ให้ได้มากที่สุดท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรง  และความพยายามแก้ไขปัญหาของฝ่ายความมั่นคง  ดังนี้

( ๑ ) โครงการส่งเสริม “อาสาสมัครเยียวยาฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ” จากเหตุการณ์ความไม่สงบ  โดยผ่านศูนย์เยียวยาชุมชนปอเนาะ ๗๐ แห่ง  อาสาสมัคร ๒๕๐ คน  ดูแลประชาชนประมาณ ๒,๐๐๐ ราย

(๒) โครงการส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายอาสาสมัครชุมชนเพื่อ “เยียวยาผู้บาดเจ็บ และช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  โดยมีมัสยิด ๖๐๐ แห่ง ร่วมเป็นศูนย์แจ้งเหตุและศูนย์ปฏิบัติการ  ครอบคลุม ๓๓ อำเภอ ๒๕๐ ตำบล  ช่วยเหลือผู้อยู่ในภาวะลำบากประมาณ ๓ , ๐๐๐ ราย

( ๓ ) โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของ “ชุมชนพหุศาสนิก” ในการเยียวยาฟื้นฟูความสมานฉันท์ในชุมชนท้องถิ่น  นำร่องใน ๑๓ ชุมชน

( ๔ ) โครงการส่งเสริมบทบาทปอเนาะเป็น “ศูนย์เรียนรู้ชุมชนเข้มแข็ง”    จำนวน ๑๕ แห่ง

( ๕ )  โครงการพัฒนา “ระบบกองทุนซะกาต” เพื่อดูแลเด็กกำพร้าในชุมชนมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้  จำนวน ๒๐ ปอเนาะ

( ๖ )  โครงการ “บ้านมั่นคง” ๖๒ ชุมชน ๕,๕๐๐ ครัวเรือน

( ๗ )  โครงการแก้ปัญหา “ชุมชนประมงพื้นบ้าน” เดือดร้อนจากเรืออวนรุนอวนลาก ๘๑ หมู่บ้าน ๒๕ ตำบล ๒๓ , ๓๒๔ ครอบครัว

( ๘ )  โครงการแก้ปัญหา “ที่ดินทำกิน”  ๓๐ ตำบล  ผู้เดือดร้อนจากอุทยานทับที่ทำกิน ๒ , ๘๐๐ ครอบครัว

( ๙ )  โครงการระดมความคิดต่อ “ร่างกฎหมาย” ที่เอื้อต่อการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้   ๓ ฉบับ  ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน  ร่างพระราชบัญญัติฟื้นฟูชุมชนและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชายแดนภาคใต้  และ ร่าง พระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการกองทุนซะกาต

( ๑๐ )  โครงการผลิตละครโทรทัศน์ เรื่อง “รายากุนิง” เพื่อสร้างเสริมทัศนคติต่อคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันของคนไทยทั้งประเทศ  ความยาว ๖๐ ชั่วโมง  เผยแพร่ในปี ๒๕๕๑

๑.๓ ส่งเสริมอาสาสมัครเพื่อสังคม คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๐ ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ เรื่อง “การให้และการอาสาช่วยเหลือสังคม”  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ดำเนินโครงการหลากหลาย   อาทิ   การรณรงค์จิตสำนึกการให้และการอาสาช่วยเหลือสังคมในโอกาสปีเฉลิมฉลอง ๘๐ พรรษา โดยประกาศให้ปี ๒๕๕๐ ซึ่งตรงกับโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา เป็นปีแห่งการให้และการอาสาช่วยเหลือสังคม รณรงค์ วันสังคมสงเคราะห์และวันอาสาสมัครไทย ๒๑ ตุลาคม  วันอาสาสมัครสากล ๕ ธันวาคม และวันจิตอาสา ๒๗ ธันวาคม การจัดทำแผนแม่บทการเงินการคลังเพื่อสังคม  การเพิ่มหลักสูตรการเรียนว่าด้วยการให้และการอาสาช่วยเหลือสังคม ม าตรการเอื้อให้บุคลากรของรัฐและภาคเอกชนมีส่วนร่วมเป็นอาสาสมัคร โดยไม่ถือเป็นวันลา  ได้ไม่เกิน ๕ วัน และ จัดทำเว็บไซต์คนใจดีเป็นสื่อกลางระหว่างผู้ให้และผู้รับ  เป็นต้น

๑.๔ ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมในภาคธุรกิจและรัฐกิจ โดยการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมธุรกิจเพื่อสังคม ( CSR Promotion Center)  ขึ้นในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีเครือข่ายนักธุรกิจเข้าร่วมกิจกรรม ๒๕๐ คน

๑.๕ ป้องกันและแก้ไขปัญหา การค้ามนุษย์ ดำเนินการช่วยเหลือและคุ้มครองสวัสดิ ภาพ หญิงและเด็กที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ๖๙๕ คน อบรมทำแผนปฏิบัติการต่อต้าน การค้ามนุษย์ระดับจังหวัด ๖๑๐ คน อบรมทีมสหวิชาชีพเพื่อต้านการค้ามนุษย์ ๒๙๙ คน ทำบันทึกข้อตกลงในพื้นที่ ๓ กลุ่มจังหวัด (ภาคใต้ฝั่งตะวันออก ภาคใต้ฝั่งตะวันตก และภาคเหนือ) บันทึกความเข้าใจองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่น ( IOM) และจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์โดยร่วมมือกันในกลุ่ม ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ( COMMIT)

                ๒. ยุทธศาสตร์สังคมเข้มแข็ง โดยเน้นการสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มเป้าหมายและสถาบันครอบครัว (สตรี เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ และผู้สูงอายุ) ผ่านการรวมตัวกัน เพื่อทำให้เกิดการแก้ไขปัญหา และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

.๑ ขยายระบบสวัสดิการชุมชน เพื่อเป็นฐานของชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง โดยสนับสนุนงบประมาณประจำปี ๒๕๕๐ จำนวน ๒๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ดำเนินโครงการจัดสวัสดิการชุมชนท้องถิ่น ครอบคลุมพื้นที่ ๒,๐๐๐ ตำบล

๒.๒ วิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนารูปแบบการบูรณาการเครือข่ายกองทุนสวัสดิการชุมชนระดับอำเภอ ใน ๑๒ จังหวัด

๒.๓ สนับสนุน การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อย โดย สร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยของชุมชนแออัด   ๖๙ จังหวัด ๔๙๖ โครงการ ๕๓ ,๑๙๐ ครัวเรือน และโครงการบ้านเอื้ออาทรสำหรับผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ซึ่งได้ดำเนินโครงการทั้งสิ้น ๓๐๐,๕๐๔ หน่วย ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ ๘๙,๖๐๗ หน่วย (ข้อมูล ณ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน๒๕๕๐)

๒.๔ ส่งเสริมเครือข่ายสตรีเข้มแข็ง   ผ่านกิจกรรมรณรงค์ความเสมอภาคเท่าเทียมของหญิงชาย รณรงค์ส่งเสริมสตรีมีส่วนร่วมกิจกรรมทางการเมือง  โดยมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนสตรี อาสาสมัคร ใน อบต. ๑ , ๗๕๐ คน  เพื่อเพิ่มสัดส่วนได้รับเลือกตั้งอย่างน้อยร้อยละ ๑๐

๒.๕ สร้างเสริมความเข้มแข็งให้สถาบันครอบครัว   ผ่านกิจกรรมศูนย์พัฒนาครอบครัว ในชุมชน ๓ ,๑๖๖ แห่ง,   รณรงค์วันอาทิตย์เป็นวันครอบครัว ( We love Sunday),   โครงการครอบครัวสมานฉันท์    และสื่อรณรงค์ครอบครัวอบอุ่น

๒.๖ พัฒนาเด็กและเยาวชน ผ่านการขับเคลื่อนวาระเพื่อเด็กและเยาวชน ปี ๒๕๕๐ ใน ๕ ด้าน  ได้แก่  ๑ ) สื่อสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน   ผ่านการ ปกป้องข้อมูลส่วนตัวของเด็กบนโลกออนไลน์  ๒ ) ด้านกิจกรรม สร้างสรรค์ของเด็กและเยาวชน   ๓ ) ด้านสถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาล  ๔ ) ด้านจังหวัดน่าอยู่สำหรับเด็ก และ ๕ ) ด้านกฎหมายส่งเสริมครอบครัว รวมถึงการจัดทำโครงการบูรณาการสร้างบทบาทและพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน โครงการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมแก่เด็กและเยาวชน โดยอบรมผู้นำเยาวชนคนสร้างชาติ ๕๔๓ ,๑๖๕ คน ทั่วประเทศ โครงการหอพักสีขาว และโครงการเครือข่ายเยาวชนประชาธิปไตย  เป็นต้น

๒.๗ พัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ได้จัดบริการคนพิการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร โดยอบรมอาสาสมัครพัฒนาสังคมเพื่อช่วยเหลือคนพิการ จำนวน ๑,๒๘๕ คน ใน ๒๕ จังหวัด ส่งเสริมการประกอบอาชีพของคนพิการและรณรงค์การจ้างงานคนพิการในหน่วยงานภาครัฐ ๑๐ จังหวัด การให้บริการกู้ยืมเงินทุนประกอบอาชีพสำหรับคนพิการ ผ่านกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ จำนวน ๕ ,๐๕๘ ราย เป็นเงิน ๑๔๖.๒๒ ล้านบาท และสนับสนุนโครงการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการของหน่วยงานภาครัฐและองค์กรภาคเอกชน จำนวน ๑๖๖ โครงการ เป็นเงิน ๒๐.๙๗ ล้านบาท

๒.๘ ส่งเสริมศักยภาพและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ ผ่านโครงการอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน ( อผส.) ใน ๗๕ จังหวัด ๙๕ เขตพื้นที่  มี อผส. ๓ , ๖๓๘ คน  ดำเนินการดูแลผู้สูงอายุ ๒๗ , ๐๘๘ คน โครงการคลังปัญญาผู้สูงอายุ (ธนาคารสมอง หน้า ๓๓) ได้ดำเนินการในพื้นที่นำร่อง ๔ ภาค ๑๓ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย ลำพูน แพร่ อุตรดิตถ์ บุรีรัมย์ มหาสารคาม สกลนคร เพชรบุรี จันทบุรี สุพรรณบุรี พัทลุง สงขลา และตรัง โดยมีผู้สูงอายุขึ้นทะเบียนคลังปัญญาผู้สูงอายุ จำนวน ๔ ,๑๔๕ คน และเกิดการถ่ายทอดภูมิปัญญาผู้สูงอายุสู่ชุมชน ๑๒๕ กิจกรรม มีเด็ก เยาวชน และประชาชน ได้รับประโยชน์จากการถ่ายทอด ๑๔,๐๐๐ คน

๒.๙ ส่งเสริมการสร้างชุมชนเข้มแข็ง โดยองค์กรชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกันจัดกระบวนการประเมินและรับรองสถานภาพองค์กรชุมชน จำนวน ๓๕,๐๐๐ องค์กร

. ยุทธศาสตร์สังคมคุณธรรม มีภารกิจสำคัญคือ  การแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคม  และการสร้างสังคมที่สงบและสันติยุติธรรม

๓.๑ การถอดสลักความรุนแรงในสังคมไทย

( ๑ )  โครงการสนับสนุนการป้องกันและลดความรุนแรง  จัดตั้งศูนย์สนับสนุนการป้องกันและลดความรุนแรง (ศปลร.) ขึ้นในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์   และเชื่อมโยงเครือข่ายสายด่วน ๑๑๘ เครือข่าย  เข้ามาร่วมปฏิบัติงานและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

( ๒ )  โครงการศูนย์สันติยุติธรรม  จัดตั้งศูนย์สันติยุติธรรมใน ๔๖ จังหวัด จำนวน ๖๐ แห่ง

( ๓ )  ดำเนินโครงการเวทีประชาธิปไตยชุมชนเพื่อความมั่นคงของมนุษย์ในระดับอำเภอจำนวน ๙๒๖ เวที  เพื่อสร้างการเมืองเชิงสมานฉันท์ในระดับชุมชนท้องถิ่น

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/162476

<<< กลับ

นักการธนาคาร ผู้นำขบวนการชุมชนไทย (คำนิยมและคำนำ)

นักการธนาคาร ผู้นำขบวนการชุมชนไทย (คำนิยมและคำนำ)


(คำนิยมและคำนำสำหรับบทความชุด “ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม : นักการธนาคาร ผู้นำขบวนการชุมชนไทย” ลงใน นสพ.สยามรัฐ ระหว่างวันที่ 20 พ.ย. 50 – 25 ธ.ค. 50 รวม 10 ตอน ซึ่งต่อมาได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือโดย “สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.))

คำนิยม

มนุษย์ต่างจากสัตว์ที่มีจิตสำนึกรับผิดชอบชั่วดีได้

ในชีวิตของแต่ละคนล้วนต้องพึ่งคนอื่นและสิ่งอื่น ต้องพึ่งอากาศที่หายใจ แสงแดดที่ให้พลังงาน ต้นไม้ที่ให้ออกซิเจน ความร่มรื่น และอาหาร น้ำที่ให้ความชุ่มชื้นและเป็นส่วนประกอบของร่างกาย ต้องพึ่งชาวนา ต้องพึ่งคนทอผ้า ต้องพึ่งคนทำอาหาร ต้องพึ่งพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ และคนอื่นๆ อีกมากมายในสังคม

มนุษย์ควรมีปัญญาเห็นความเชื่อมโยงพึ่งพาอาศัยของตัวเรากับสรรพสิ่งและมีกตัญญูในหัวใจ ว่าเกิดมาแล้วต้องตอบแทนต่อธรรมชาติและสังคม ถ้าทุกคนมีแต่เอา ธรรมชาติและสังคมก็อยู่ไม่ได้ ฉะนั้นในความเป็นมนุษย์เราจึงมีหน้าที่ ที่จะให้หรือตอบแทนต่อธรรมชาติและสังคม ยิ่งเป็นบุคคลสาธารณะที่มีคนรู้จักมาก เช่น พระราชวงศ์ นักการเมือง ดารา นักกีฬา ฯลฯ ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบสูง ในสมัยแห่งการสื่อสารใครทำอะไรหรือพูดอะไรก็รู้เห็นกันไปได้ทั่วบ้านทั่วเมือง ใครทำดีไม่ดีในที่สุดสาธารณะจะรู้ คนที่หวังดีต่อส่วนรวมด้วยความสุจริตใจจะได้รับความเชื่อถือไว้วางไจ ( Trust) จากสังคม ความเชื่อถือไว้วางใจเป็นทุนที่ยิ่งใหญ่มากที่เงินก็ชื้อไม่ได้ บุคคลสาธารณะจึงมีหน้าที่ในการทำให้ถูกต้อง ซึ่งจะทำให้อยู่ในฐานะที่จะทำประโยชน์ให้สังคมได้มาก

ผมรู้จักคุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรมและนายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป มาช้านานจนเชื่อได้สนิทใจว่าทั้งสองคนเป็นคนสุจริตที่หวังดีต่อบ้านเมือง ประกอบด้วยวิริยะอุตสาหะ ขันติธรรม และอหิงสธรรม

ในการทำงานเพื่อสังคมจะต้องฝ่าความเสียดทานมาก ต้องใช้ธรรมะพร้อมทั้งสุทธิ ปัญญา เมตตา และขันติ จึงจะสำเร็จประโยชน์ได้

คุณไพบูลย์ และคุณหมอพลเดช เป็นคนที่เข้าใจว่าการที่ประเทศของเรา เศรษฐกิจจะดี การเมืองจะดี และศีลธรรมจะดีนั้นอยู่ที่ “สังคมเข้มแข็ง” สังคมเข้มแข็งอยู่ที่ ชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง และความเป็นประชาสังคม ถ้าปราศจากความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น และความเป็นประชาสังคมแล้ว ต่อให้เทศนาสั่งสอนหรือทำอย่างไรๆ เศรษฐกิจก็จะไม่มีวันดี การเมืองจะไม่มีวันดี และศีลธรรมจะไม่มีวันดี

เพราะตระหนักในข้อนี้ ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ซึ่งเคยเป็นนักการธนาคารจึงหันมาทุ่มเททำงานเพื่อส่งเสริมสังคมเข้มแข็ง หนังสือเรื่อง “ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม  : นักการธนาคารผู้นำขบวนการชุมชนไทย” ที่คุณหมอพลเดชเรียบเรียงขึ้นมาจากความบันดาลใจ ที่เห็นชีวิตและการทำงานของไพบูลย์ จะช่วยให้เห็นการทำงานบนเส้นทางสังคมเข้มแข็งของไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม

พี่น้องคนไทยครับ ประเทศไทยของเรานี้สร้างให้เป็นสวรรค์บนดินได้โดยไม่ยากเลยถ้าคนไทยเข้าใจเรื่องสังคมเข้มแข็ง ถ้าภายใน ๕ ปี จากนี้ไปเราช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนให้ทั้ง ๗๐,๐๐๐ กว่าหมู่บ้าน และทั้ง ๗,๐๐๐ กว่าตำบลมีความเข้มแข็ง  อันหมายถึงฐานของสังคมเข้มแข็งเราจะสร้างชุมชนแห่งความพอเพียงและศานติสุขขึ้นเต็มประเทศ

คุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และนายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป คือเพื่อนร่วมทางของพี่น้องคนไทยบนเส้นทางสังคมเข้มแข็ง ขอให้คนไทยประสบความสำเร็จในการสร้างสวรรค์บนดิน บนดินแดนอันบรรพบุรุษส่งมอบให้แก่เราผืนนี้ เพื่อลูกหลานของเราจะได้อยู่ร่วมกันด้วยความพอเพียงและศานติ  สืบไปชั่วกาลนาน

ประเวศ วะสี

๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๐

คำนิยม

เมื่อ 30 ปีก่อน ขณะนั้นประเทศไทยเรามีปัญหาของการขาดโปรตีนและแคลลอรี่ในกลุ่มเด็กเล็ก โดยเฉพาะในชนบทที่ห่างไกล  ใครที่ไปเยี่ยมชนบท ก็มักจะพบเด็กขาดสารอาหารเป็นจำนวนมาก  เวลาพูดคุยให้ความรู้ชาวบ้านก็ทำได้ยาก  เนื่องจากพ่อแม่ของเด็ก  เห็นว่าลูกของตนเองผอมเท่ากับเด็กคนอื่นๆ ชาวบ้านไม่เข้าใจปัญหา คิดว่าเด็กผอมโดยธรรมชาติ  ประกอบกับในสมัยนั้นการสื่อสาร การเผยแพร่ความรู้เป็นไปอย่างจำกัด  หากต้องการแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการ ในเด็กต้องดำเนินการอย่างบูรณาการ ทั้งทางด้านการศึกษา การสาธารณสุขการเกษตร  การส่งเสริมอาชีพ ซึ่งในแนวคิดนี้หมายถึงการมุ่งเน้นไปสู่การ “พัฒนามนุษย์” (Human Development) ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญในการที่จะทำให้เด็กของเราเติบโต ไปเป็นเยาวชนที่มีคุณภาพของชาติต่อไป

ผมรู้จักคุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม เมื่อตอนที่ผมและคุณหมอสาคร ธนมิตต์ (ปัจจุบันคือ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงคุณสาคร ธนมิตต์)  ได้ร่วมกันดำเนินโครงการ แก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการในเด็กเล็ก ที่ดำเนินการในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเราเห็นตรงกันว่าการแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการในเด็กเล็ก คือ จุดเริ่มของงาน Human Development เราทั้งสองจึงปรึกษากันว่าเราควรจะต้องให้องค์กรภาคีอื่นๆ เขามามีส่วนร่วม ขณะนั้นคุณไพบูลย์ เป็นผู้จัดการใหญ่ธนาคารออมสินเราได้ไปพบคุณไพบูลย์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน และร่วมมือในการที่จะช่วยกันแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการในเด็กเล็ก

คุณไพบูลย์ ถึงแม้จะเป็นนักการธนาคารโดยพื้นฐาน แต่ก็เป็นผู้ที่มีความสนใจ ในชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน สนใจในการที่จะส่งเสริมความเข้มแข็งของประชาชน ที่ต้องการให้ประชาชนได้พึ่งตนเอง ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีสิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนจากการทำงานในด้านต่างๆ  เมื่อคุณไพบูลย์พ้นจากตำแหน่งที่ธนาคารออมสิน และมาทำงานในฐานะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ก็มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนความเข้มแข็งของชุมชนในทุกๆ ด้าน

โครงการ “เด็กกินอิ่ม เรายิ้มได้” เป็นโครงการที่เกิดจากความร่วมมือของสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล จังหวัดศรีสะเกษ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่มีเป้าหมายเพื่อต้องการให้มีการระดมทรัพยากรต่างๆ ทั้งภายใน และภายนอก จังหวัดศรีสะเกษให้มาลงทุนเด็กศรีสะเกษให้สามารถพึ่งตนเอง ในด้านอาหารและโภชนาการได้ คุณไพบูลย์ ซึ่งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ สสส. ก็ได้มีส่วนในการสนับสนุนให้โครงการประสบความสำเร็จและถือเป็นโครงการ ที่เป็นแบบอย่างให้พื้นที่อื่นๆ ได้ศึกษาเรียนรู้ต่อไป

ผมมีความเชื่อมั่นว่า คุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม นักการธนาคารที่ใช้ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ มาประยุกต์ใช้ในงานพัฒนาคน  ในการที่จะสร้างเสริมความเข้มแข็งของชุมชนต้องการเห็นการบูรณาการความร่วมมือต่างๆ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาให้แก่ท้องถิ่น  โดยอยู่บนพื้นฐานของการพึ่งตนเอง ผมขอเป็นกำลังใจให้คุณไพบูลย์ ได้ดำเนินงานตามความมุ่งมั่น เพื่อร่วมกัน พัฒนามนุษย์ ( Human Development) ซึ่งเป้าหมายร่วมกันของเราทุกคนต่อไป

ศ.นพ.อารี  วัลยะเสวี

18 ธค.2550

คำนิยมและขอบคุณ

“หมอพลเดช” (นพ.พลเดช  ปิ่นประทีป) เขียนเรื่อง “ไพบูลย์  วัฒนศิริธรรม นักการธนาคาร ผู้นำขบวนการชุมชนไทย” โดยไม่ได้บอกหรือระแคะระคายให้ผมได้ทราบเลย  จนกระทั่งผมมาเห็นในรูปบทความที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ  ซึ่งแยกลงเป็นตอนๆ ต่อเนื่องกันประมาณสัปดาห์ละ 2 ตอน ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2550

เมื่อมีโอกาสผมจึงถามหมอพลเดชเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้รับคำอธิบายว่า เหตุการณ์เจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจของผม ทำให้หมอพลเดชรำลึกถึงความเกี่ยวพันที่มีกับผมมาประมาณครบ 9 ปีพอดี และเป็นความเกี่ยวพันอันเนื่องด้วยความพยามยามที่จะก่อให้เกิด “ชุมชนเข้มแข็ง” พร้อมกับการแก้ปัญหาความยากจนและอื่นๆ ในสังคมไทย

จากความรำลึกดังกล่าว หมอพลเดชจึงลงมือเขียนเรื่อง “ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม นักการธนาคาร  ผู้นำขบวนการชุมชนไทย” โดยตั้งใจให้ “…เป็นการสดุดีในความเสียสละอุทิศตนเพื่อสังคม…” ของผม ซึ่งในส่วนนี้ ผมต้องขอขอบคุณหมอพลเดชที่มีน้ำใจและให้ความเป็นกัลยาณมิตรต่อผมอย่างมากนอกเหนือไปจากการที่ได้ช่วยงานและร่วมงานกับผมมาเป็นเวลาเนิ่นนาน โดยเฉพาะในช่วงที่เราทั้งสองคนเข้ามาทำงานภายใต้รัฐบาลที่มีพลเอกสุรยุทธ์  จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี

อันที่จริง สาระหลักของเรื่อง “ไพบูลย์  วัฒนศิริธรรม นักการธนาคาร ผู้นำขบวนการชุมชนไทย” คือ การประมวล สรุป และวิเคราะห์ “พัฒนาการของขบวนการชุมชนไทย”อย่างเป็นขั้นเป็นตอน  โดยหมอพลเดชได้เชื่อมโยงบทบาทของผมเข้าไปในช่วงจังหวะและสถานการณ์ต่างๆ  ซึ่งผมต้องขอขอบคุณคุณหมอพลเดชที่วิเคราะห์ในเชิงให้ “เครดิต”หรือให้เกียรติกับผม โดยที่ในบางกรณีผมเองก็รู้สึกว่าอาจให้ “เครดิต” กับผมมากเกินไป  เพราะแท้ที่จริงแล้ว “พัฒนาการของขบวนการชุมชนไทย” ที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากความพยายามและบทบาทของบุคคล กลุ่ม องค์กร หน่วยงาน ฯลฯ จำนวนมากด้วยกัน ในขณะที่ผมเองเป็นเพียงหนึ่งในจำนวนบุคคลเหล่านั้น

“หมอพลเดช” เป็นแพทย์ที่อุทิศตนทำงานเพื่อมวลชนมาเป็นเวลานาน  ทั้งในฐานะข้าราชการสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และในฐานะที่ได้รับการยืมตัวมาช่วยงานใน “ภาคประชาชน” (เป็นเลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา หรือ LDI ฯลฯ) หมอพลเดชเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคม พร้อมกับเป็นนักปฏิบัติ นักบริหารจัดการ นักคิด นักวิชาการ และนักเขียน  ที่มีความสามารถและมีคุณภาพมากคนหนึ่ง เขียนหนังสือได้กระชับ คม ลึก สละสลวย และรวดเร็ว ซึ่งความสามารถและคุณภาพดังกล่าว  เป็นเหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมชักชวนให้หมอพลเดชมาช่วยงานรัฐบาลร่วมกับผม  ในช่วงเวลาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2549 เป็นต้นมา

ผมเห็นว่าเรื่อง “ไพบูลย์  วัฒนศิริธรรม นักการธนาคาร ผู้นำขบวนการชุมชนไทย” ซึ่งที่จริงคือการสรุปวิเคราะห์ “พัฒนาการของขบวนการชุมชนไทย” นั้น น่าจะมีคุณค่าในฐานะเป็นเอกสารวิชาการชิ้นหนึ่งที่สั้น กระชับ น่าอ่าน น่าสนใจ เกี่ยวกับเรื่องที่มีความสำคัญมากในสังคมเรื่องหนึ่ง ได้แก่ เรื่อง “ขบวนการชุมชน” นั่นเอง ส่วนข้อที่ว่าผมมีบทบาทมากน้อยหรือสำคัญแค่ไหนอย่างไรในการสร้างเสริมขบวนการชุมชนไทย คงถือเป็นเรื่องของความคิดเห็นที่ย่อมมีได้ต่างๆ นานา และท่านผู้อ่านอาจมีความคิดเห็นที่ต่างไปจากหมอพลเดช  นั่นคือ อาจไม่เห็นด้วยเลยหรือเห็นด้วยเพียงบางส่วนก็ย่อมได้

อย่างไรก็ตาม  ผมเองต้องขอขอบคุณหมอพลเดชอีกครั้งหนึ่งในความปรารถนาดีและความเป็นกัลยาณมิตร  พร้อมกับขอชื่นชมความพยายามและความสามารถที่ได้ผลิตเอกสารเล่มกระชับซึ่งมีคุณค่าทางวิชาการ และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนงานพัฒนาขบวนการชุมชนและสังคมที่หลายกลุ่มหลายฝ่ายมุ่งดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน  และคงจะพยายามดำเนินการต่อไปอีกนานในอนาคต

ไพบูลย์  วัฒนศิริธรรม

ธันวาคม  2550

คำนำผู้เขียน

ผมรู้จักกับอาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม เป็นครั้งแรกเมื่อตอนที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์หมอประเวศ วะสี ให้ไปนำเสนอยุทธศาสตร์การทำ 80,000 หมู่บ้านให้เข้มแข็ง ต่อที่ประชุมผู้ทรงคุณวุฒิกลุ่มหนึ่ง จำได้ว่าวันนั้นคือวันที่ 22 ตุลาคม 2541 เขาประชุมกันที่บริษัทบางจากปิโตรเลียม และที่ประชุมดังกล่าวมีอาจารย์ผู้ใหญ่หลายท่าน อาทิ :- ประเวศ วะสี, สุเมธ ตันติเวชกุล, ธรรมรักษ์  การพิศิษฏ์, ไพโรจน์  สุจินดา, ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม, วิจารณ์ พานิช, ศรีสว่าง พั่ววงศ์แพทย์, โสภณ สุภาพงษ์, สงวน นิตยารัมภ์พงศ์, เอนก นาคะบุตร, ฯลฯ

เราทำงานผูกพันใกล้ชิดเสมือนพี่น้องและเพื่อนร่วมแนวคิด ท่านบุกเบิกงานชุมชนเข้มแข็ง ส่วนผมสนใจในงานประชาสังคม. จนเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2549 ท่านได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผมจึงได้ขันอาสาร่วมทีมงานรัฐมนตรี การทำงานช่วยท่านในฐานะเลขานุการรัฐมนตรีในช่วงแรก และฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ในเวลาต่อมานั้น ทำให้ผมยิ่งเห็นความเอาจริงเอาจังที่เสมอต้นเสมอปลาย และความทรหดอดทนของท่านได้อย่างเด่นชัดที่สุด

การป่วยกะทันหันด้วยภาวะฉุกเฉินทางหัวใจของท่านในขณะประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2550 อันเป็นวันครบรอบ 1 ปี ของการร่วมรัฐบาลพอดีนั้น ได้รับการแพร่ภาพและรายงานข่าวเป็นการใหญ่ตลอดสัปดาห์โดยผ่านโทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ คอลัมนิสต์ต่างพากันกล่าวขานถึงและยกย่องท่านว่าเป็นรัฐมนตรีที่ขยัน ทำงานหนัก และมีผลงานมากในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งผมถือว่านี่เป็นประกาศนียบัตรที่รับรองว่าท่านประสบความสำเร็จในการทำงานร่วมรัฐบาลครั้งนี้แล้วโดยพื้นฐาน ทั้งๆที่ท่านทำงานได้เพียง 12 เดือน เพราะงานพัฒนาสังคมและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่ท่านรับผิดชอบในฐานะรองนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นงานที่ไม่อาจเห็นผลสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น.

ท่านสามารถผ่านวิกฤตสุขภาพคราวนี้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด และพักรักษาตัวเพียงแค่ 2 สัปดาห์ก็กลับเข้ามาเริ่มประชุม ครม. อีกครั้งเมื่อวันที่ 22  ตุลาคม 2550 สิ่งทั้งหลายที่กล่าวมาทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจที่จะเขียนบทความชิ้นนี้เพื่อเป็นการสดุดีในความเสียสละอุทิศตนเพื่อสังคมอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยของท่าน โดยพยายามประมวลภาพบทบาทและผลงานอันโดดเด่นให้สาธารณชนได้รับรู้ และให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาเป็นแบบอย่าง.

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต ความคิด และผลงานโดยละเอียดของท่านได้มีผู้เขียนถึง และบันทึกไว้ในโอกาสต่างๆอยู่แล้ว บทความชิ้นนี้จึงมุ่งเสนอเฉพาะบางด้านที่เกี่ยวกับงานชุมชนท้องถิ่นที่ท่านมีบทบาทอย่างสำคัญเท่านั้น

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านและผู้สนใจทุกท่านจะได้รับข้อมูล แง่คิด และแรงบันดาลใจบ้างตามสมควร

พลเดช  ปิ่นประทีป

22  ตุลาคม  2550

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/157964

<<< กลับ

ธรรมาภิบาลของราชการไทย (ต่อ)

ธรรมาภิบาลของราชการไทย (ต่อ)


  • แนวทางการขับเคลื่อน
  1. สร้างกลุ่มผู้นำและผลักดันให้เกิดองค์กรแห่งสุจริตธรรมที่มีประสิทธิภาพ และมีศักดิ์ศรีในทุกระดับ เพื่อเป็นแบบอย่างของการเรียนรู้และขยายผล
  2. การพัฒนาระบบคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลที่เป็นระบบย่อยให้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงสอดคล้องกัน
  3. วางระบบสนับสนุนและโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคุณธรรม จริยธรรม และธรรมภิบาล เช่น การออกกฎหมาย การพัฒนาระบบ และการจัดกลไกรับผิดชอบ
  • กระบวนการทำงานในระดับกระทรวง/กรม มี 7 ยุทธศาสตร์
  1. การสร้างกลุ่มผู้นำ และผลักดันให้เกิดองค์กรแห่งสุจริตธรรม
  2. การปรับเปลี่ยนกระบวนทรรศน์ วัฒนธรรม ค่านิยม และการพัฒนาข้าราชการ
  3. การให้คำปรึกษาแนะนำ และการจัดการความรู้เพื่อส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล
  4. การปรับปรุงระบบการบริหารงานบุคคลให้เอื้อต่อการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล
  5. การพัฒนาระบบการบริหารจัดการด้านคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล
  6. การวัดผลและตรวจสอบด้านจริยธรรม
  7. การวางระบบสนับสนุนและปัจจัยพื้นฐานด้านจริยธรรม และธรรมาภิบาล
  8. เงื่อนไขความสำเร็จของการสร้างธรรมาภิบาล
  • คุณภาพของภาครัฐ เอกชน และประชาชนในสังคม
  • ต้องใช้ เวลาและอาศัยความร่วมมือจากทุกสถาบันในสังคม ไม่ใช่มีกฎหมายอย่างเดียว
  • ต้องมีการบริหารจัดการและการจัดการความรู้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง รวมทั้งการจัดทำตัวชี้วัด  และการติดตามผลด้วย
  1. กองทัพกับธรรมาภิบาล
  • กองทัพเป็นสถาบันสำคัญในการรักษาความมั่นคง และการพัฒนาประเทศทั้งที่ผ่านมาและในอนาคต
  • กองทัพจำเป็นต้องมีธรรมาภิบาลเพราะมีกำลังพล กำลังอาวุธ  และมีวินัยที่เข้มแข็ง

·     การน้อมนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและการรู้รักสามัคคีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯมาเป็นธงนำในการสร้างธรรมาภิบาลของกองทัพ  

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/154178

<<< กลับ

ธรรมาภิบาลของราชการไทย

ธรรมาภิบาลของราชการไทย


ประเด็นประกอบการบรรยาย

โดย

นายไพบูลย์  วัฒนศิริธรรม

รองนายกรัฐมนตรี

และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ในวันพุธที่ 12 ธันวาคม 2550 เวลา 13.00 – 14.30 น.

ณ หอประชุมนวนครินทร์  โรงเรียนเตรียมทหาร อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก

* * * * * * * * * * * *

  1. ความหมายและองค์ประกอบ ของ “ธรรมาภิบาล” (Good Governance)

ความหมายทางทฤษฎี

  • การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางสถาบันและกระบวนการทางการเมืองที่สามารถสร้างสรรค์นโยบายที่ดีและมีเครื่องมือที่เหมาะสม ซึ่งขึ้นอยู่กับความหลากหลายของการประสานงานของหน่วยงานทางเศรษฐกิจของรัฐและเอกชน
  • การปกครอง การบริหารการจัดการควบคุมดูแลกิจกรรมต่างๆ ให้เป็นไปในครรลองคลองธรรม และหมายถึงการบริหารกิจการที่ดีซึ่งนำไปใช้ได้ทั้งภาครัฐและเอกชน ธรรมะที่ใช้ในการบริหาร มีความหมายกว้างกว่าหลักธรรมทางศาสนาแต่รวมถึงศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และความถูกต้องชอบธรรมทั้งปวง ซึ่งวิญญูชนพึงมีและพึงปฏิบัติ เช่น ความโปร่งใส ตรวจสอบได้
  • UNESCAP กำหนดว่าหลักธรรมาภิบาลประกอบด้วย 8 หลักการ คือ
  1. การมีส่วนร่วม ( participation )
  2. นิติธรรม ( rule of law )
  3. ความโปร่งใส ( transparency )
  4. ความรับผิดชอบ ( responsiveness )
  5. ความเห็นพ้องร่วมกัน ( consensus )
  6. ความเสมอภาคและครอบคลุม ( equity and inclusiveness )
  7. การมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ ( effectiveness and efficiency )
  8. ความรับผิดชอบต่อผลของการกระทำ/การมีเหตุผลอธิบายได้ ( accountability )
  • ธนาคารโลก ให้ความหมายว่า
  1. การบริหารของรัฐที่มีประสิทธิภาพ
  2. ระบบศาลที่เป็นอิสระ
  3. ระบบกฎหมายที่บังคับสัญญาต่างๆ
  4. การบริหารกองทุนสาธารณะที่มีลักษณะรับผิดชอบต่อประชาสังคม
  5. การมีระบบการตรวจสอบทางบัญชีที่เป็นอิสระ รับผิดชอบต่อตัวแทนในรัฐสภา
  6. การเคารพกฎหมายและสิทธิมนุษยชนในทุกระดับของรัฐบาล
  7. โครงสร้างสถาบันที่มีลักษณะพหุนิยม
  8. การมีสื่อสารมวลชนที่เป็นอิสระ

ความหมายแฝงของธรรมาภิบาล

  1. ในแง่ระบบซึ่งหมายถึงความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม และมีนัยที่กว้างกว่าและดีกว่าคำว่า รัฐบาล (Government)
  2. ในด้านการเมือง มีลักษณะจำกัดและระบุอำนาจทางการเมืองอย่างชัดเจนได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และหมายถึงรัฐที่มีความชอบธรรมและมีอำนาจอย่างถูกต้อง
  3. ในแง่การบริหารราชการแผ่นดิน หมายถึงการมีระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ มีความเข้มแข็ง เปิดเผย และพร้อมรับผิด ตลอดจนการมีระบบศาลที่เป็นอิสระในการแก้ไขข้อพิพาทต่างๆ

สำนักงาน กพ. กำหนดหลักธรรมาภิบาลว่าประกอบด้วยหลักการ คือ

  1. หลักคุณธรรม
  2. หลักนิติธรรม
  3. หลักความโปร่งใส
  4. หลักการมีส่วนร่วม
  5. หลักความรับผิดชอบ
  6. หลักความคุ้มค่า

ดร.อรพินท์  สพโชคชัย ระบุองค์ประกอบของธรรมาภิบาล ดังนี้

  1. การมีส่วนร่วมของสาธารณะ
  2. ความสุจริตและความโปร่งใส
  3. พันธะความรับผิดชอบต่อสังคม
  4. กลไกการเมืองที่ชอบธรรม
  5. กฏเกณฑ์ที่ยุติธรรมและชัดเจน
  6. ประสิทธิภาพและประสิทธิผล

คำใกล้เคียง / ใช้แทนธรรมาภิบาล

ได้แก่ ธรรมรัฐ  รัฐาภิบาล  การกำกับดูแลที่ดี การบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี

  1. ธรรมาภิบาลของระบบราชการไทย

ธรรมาภิบาลเป็นเรื่องใหม่ของสังคมและระบบราชการไทย

2.1 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ.2542

“โดยที่สมควรกำหนดนโยบายและวางระเบียบปฏิบัติราชการ เพื่อให้การจัดระเบียบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักกฎหมายและการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ให้สังคมสามารถมีส่วนร่วมและรับผิดชอบในการบริหารกิจการดังกล่าวด้วยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารและให้โอกาสตรวจสอบได้ ตลอดจนขยายการให้บริการภาครัฐไปสู่ประชาชนอย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและเป็นธรรม”

หลักการสำคัญของระเบียบฯ

  1. หลักนิติธรรม
  2. หลักคุณธรรม
  3. หลักความโปร่งใส
  4. หลักการมีส่วนร่วม
  5. หลักความรับผิดชอบ
  6. หลักความคุ้มค่า

2.2 แนวทางของรัฐบาล (ชวน  หลีกภัย)  ได้กระตุ้นให้เกิดการปฏิรูปในภาครัฐ ธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน 5 ประการ

  1. สร้างกฏเกณฑ์และกลไกที่ดีในการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคม เพื่อให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงสามารถส่งสัญญาณเตือนภัยและผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องสามารถปรับเปลี่ยนกลไกและฟันเฟืองการทำงานและการประสานงานในภาครัฐและภาคเอกชนรองรับได้อย่างทันท่วงทีในยามที่มีปัญหา
  2. พัฒนาศักยภาพของนักวิชาการ ให้สามารถศึกษา ค้นคว้าและเสนอแนะแนวทางแก้ไขจุดบกพร่องๆ ที่จำเป็นต่อการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมอย่างถูกต้อง กล้าหาญ และมีจริยธรรม
  3. ปรับปรุงระบบการตัดสินใจและการบริหารจัดการทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนให้รวดเร็ว ชัดเจน และเป็นธรรม
  4. ขยายโอกาสของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองเพื่อร่วมกับภาครัฐในการตัดสินใจและการแก้ไขปัญหาส่วนรวม
  5. ขจัดการทุจริต ประพฤติมิชอบ และการหลีกเลี่ยงกฎหมายเพื่อแสวงหาประโยชน์ใส่ตนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวมร่วมกัน

2.3 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) บัญญัติให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการปฏิบัติราชการและสั่งการให้ส่วนราชการและข้าราชการปฏิบัติราชการเพื่อให้เกิดการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

2.4 พระราชกฤษฏีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. 2546

เหตุผล : โดยที่มีการปฏิรูประบบราชการเพื่อให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศและให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งการบริหารราชการและการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการต้องใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐมีประสิทธิภาพ เกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ ลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน และประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ

เป้าหมาย 7 ประการของพระราชกฤษฎีกา

  1. เกิดประโยชน์สูงสุดของประชาชน
  2. เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
  3. มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ
  4. ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติเกินความจำเป็น
  5. มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการได้ทันต่อสถานการณ์
  6. ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองต่อความต้องการ
  7. มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการอย่างสม่ำเสมอ

หลักของธรรมาภิบาลในภาครัฐ

  1. ยึดมั่นในหลักของวัตถุประสงค์ในการให้บริการแก่ประชาชน
  2. ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในหน้าที่และบทบาทของตน
  3. ส่งเสริมค่านิยมขององค์กร และแสดงให้เห็นคุณค่าของธรรมาภิบาลโดยการปฏิบัติหรือพฤติกรรม
  4. มีการสื่อสารที่ดี การตัดสินใจอย่างโปร่งใส และมีการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม
  5. พัฒนาศักยภาพและความสามารถของส่วนราชการอย่างต่อเนื่องให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  6. เข้าถึงประชาชนและต้องรับผิดชอบต่อการทำงานและผลงานอย่างจริงจัง
  7. รัฐบาลปัจจุบันและการสร้างธรรมาภิบาล

3.1 การกำหนดนโยบายของรัฐบาล

3.2 วาระแห่งชาติ ด้านจริยธรรม ธรรมาภิบาล และการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ

  • เป้าหมาย

เพื่อปรับให้ภาคราชการทำงานด้วยความตระหนักในหลักคุณธรรม มีจริยธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต ทำงานด้วยความสุจริต โปร่งใส ประหยัด ใช้หลักความรู้ หลักเหตุผล เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และมีจิตสำนึกในการทำงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน

  • คำประกาศของนายกรัฐมนตรี (8 ธันวาคม 2549)

“ข้าพเจ้า พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีขอประกาศเจตนารมณ์ในอันที่จะมุ่งมั่นสร้างระบบบริหารราชการแผ่นดินที่สุจริต เป็นธรรม และเป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของประชาชน รวมทั้งการขจัดปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยมุ่งพัฒนาการบริหารราชการแผ่นดินและกฎหมายให้เหมาะสม สร้างระบบราชการให้มีภูมิคุ้มกันต่อปัญหาการทุจริตทั้งปวง จะมุ่งฟื้นฟูระบบคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาล ในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างเร่งด่วน โดยจะใช้กลไกภาครัฐผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนไปพร้อมกันทั้งระบบ เพื่อก่อให้เกิดผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมดีที่ขึ้นอย่างยั่งยืน”

  • เป้าประสงค์
  1. การลดและปิดโอกาสการทุจริตและประพฤติมิชอบในทางราชการ เพื่อสร้างความโปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริต ลดความสูญเสีย และขจัดรูรั่วไหลในการปฏิบัติราชการ
  2. สร้างจิตสำนึกในการประพฤติชอบ ให้ยึดมั่นในหลักศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ ความสุจริต ซื่อตรง เที่ยงธรรม เป็นกลาง ไม่เลือกปฏิบัติ รวมถึงการปฏิบัติราชการอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ประหยัด เกิดความคุ้มค่า มีคุณภาพ มีมาตรฐาน ถูกต้อง ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และมีความรับผิดชอบต่อสังคม

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/154177

<<< กลับ

เปิดใจมันสมอง ‘ขิงแก่’ รับโดนกระทุ้งท้องเรือ เหตุ 1 ปี งานอืด

เปิดใจมันสมอง ‘ขิงแก่’ รับโดนกระทุ้งท้องเรือ เหตุ 1 ปี งานอืด


(สัมภาษณ์พิเศษลงใน นสพ.โพสต์ ทูเดย์ ฉบับวันที่ 8 ตุลาคม 50 หน้า A-4)

8 ต.ค. 2550 ครบรอบการทำงาน 1 ปีของรัฐบาลสุรยุทธ์ที่มาโดยการรัฐประหาร

จากความหวังที่อยากเห็นรัฐบาลแก้ปัญหาด้านต่างๆ ให้ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะความแตกแยกในสังคม และนำพาประเทศให้เกิดความสามัคคี พ้นภัยจากพิษประชานิยม

ทว่า 1 ปีที่ผ่านมา ปรากฏคำวิจารณ์ หนักหน่วงว่า รัฐบาลสอบตก ไร้ผลงาน ไม่ฉวยโอกาสผลักดันวาระปฏิรูป ยกเครื่อง แก้ปัญหาสำคัญของชาติให้เป็นผลสำเร็จ

เป็นเหตุให้กลุ่มการเมืองที่ร่วมโค่นระบอบทักษิณอ้างความล้มเหลวจากการ “ปล่อยเกียร์ว่าง” ครั้งนี้ เพื่อเปลี่ยนตัวนายกฯ เพราะเกรง “อำนาจเก่า” จะกลับมาเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งในอีกไม่กี่เดือนนี้

ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้ซึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ไว้วางใจมาก และถือเป็น “มันสมอง” คนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังยุทธศาสตร์ด้านการเมือง ชี้แจงมุมมองลึกๆ อีกด้าน ถึงการฝ่าฟันมรสุมวิกฤตในช่วง 1 ปีที่ผ่านมากับอุปสรรคและผลงานที่ไม่ค่อยเป็นข่าว…

รัฐบาลไม่มีผลงานจริงหรือ

เบื้องต้นอยากให้ความเห็นเกี่ยวกับการวิเคราะห์ที่สังคมไทยคุ้นชินกันอยู่คือ การเอาตัวเองเป็นหลักและมุ่งหาความผิดพลาด มากกว่าการที่จะวิเคราะห์เพื่อเสริมสร้างพลังในสังคม เช่นองค์กรหนึ่งมีทั้งส่วนที่ประสบความสำเร็จและส่วนที่มีปัญหา และก็บอกว่าองค์กรนี้ไม่เอาไหนเลย มีแต่ปัญหา ซึ่งก็ไม่ผิด แต่อาจจะพูดเกินความจริงตามอคติของ ผู้วิจารณ์และก็จบอยู่แค่นั้น ผลที่ตามมาคือคนในองค์กรที่ทำดีก็จะรู้สึกท้อถอย วิธีวิจารณ์แบบนี้แทนที่จะทำให้องค์กรเจริญก้าวหน้ากลับอ่อนแอ

ส่วนการวิจารณ์แบบเพิ่มพลังจะค้นหา สิ่งที่ดี ทำให้คนที่ได้รับการค้นหาสิ่งที่ดีมีความภูมิใจจึงเหมือนถูกกระตุ้นให้อยากทำความดี ก็จะต่อพลังไปเรื่อยๆ ในที่สุดคนนั้นก็จะดีมากขึ้น ฉะนั้นการวิจารณ์ทางการเมืองไทยจึงไม่ก้าวหน้า และไม่สร้างสรรค์ เต็มไปด้วยการกล่าวหา กระแทก ปฏิปักษ์

ฉะนั้น ประเภทที่มาบอกว่าคนนั้นสอบตก ก็เป็นการคิดแบบง่ายๆ เพราะถามจริงๆ คุณเอามาตรฐานอะไรมาประเมิน เช่นบอกว่ารัฐมนตรีคนนี้สอบตก คุณไปดูหรือไม่ว่าใน 1 ปีเขาทำอะไรบ้าง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้ความรู้สึกที่ฟังจากข่าว เช่นรัฐมนตรีนี้ไม่ค่อยเป็นข่าว ก็แสดงว่า คงไม่มีผลงานอะไร ทั้งที่งานทุกอย่างอาจไม่เป็นข่าวหมดก็ได้ ที่เป็นข่าวก็แค่นิดเดียวของงานที่ทำ

การวิจารณ์แบบผิวเผินจึงไม่ได้ช่วยอย่างสร้างสรรค์ เพราะถ้าบอกว่ารัฐบาลสอบตก แล้วยังไง จะให้เขาลาออกหรือ แล้วได้อะไรในสถานการณ์อย่างนี้

สิ่งดีๆ ของรัฐบาลมีอะไรบ้าง

ถ้ามองภาพรวมรัฐบาล เปรียบเทียบรัฐบาลนี้กับรัฐบาลก่อนเป็นเรื่องๆ โดยมีเกณฑ์ต่างๆ ผมก็มั่นใจว่ามีหลายอย่างที่ดีกว่าเก่า เช่นความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ได้มีเรื่อง ผลประโยชน์ทับซ้อนหรือมุ่งหวังอำนาจ ถ้ารัฐบาลเป็นอย่างนี้ต่อเนื่อง ประเทศจะพัฒนาไปได้มาก รัฐบาลนี้ยังมีวิสัยทัศน์เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เมื่อเป็นอย่างนี้กลไกต่างๆ ก็เดินตามไป ซึ่งก็ต้องใช้เวลา เหมือนกับสังคมต้องปรับจากสภาพหนึ่งที่เต็มไปด้วยยาฉีด ยาโป๊เพิ่มพลังทั้งหลาย พอหยุดแล้วมาใช้ยาธรรมชาติ ก็ต้องใช้เวลาพักฟื้น ผู้คนจึงยังไม่เห็นผล แต่ถ้าผ่านไปอีก 1-3 ปี สภาพร่างกายจะค่อยๆ ฟื้นขึ้น

ดังนั้น วิสัยทัศน์ ซื่อสัตย์สุจริต-เศรษฐกิจพอเพียง สังคมต้องใช้เวลาในการปรับสภาพ เป็นวิสัยทัศน์แบบลึกที่ถ้าคิดลึกๆ ก็จะเข้าใจและเห็นผลดีที่จะทยอยตามมา แต่ต้องใช้เวลา

อีกอย่างที่รัฐบาลนี้โดยเฉพาะ ผมอยากทำ แต่สุดท้ายตัดสินใจไม่ทำ คือการปฏิรูประบบ จะเห็นได้ว่าระบบการบริหารงานราชการแผ่นดินมีปัญหาเยอะ ซึ่งหลายรัฐบาลตระหนักถึงได้มีคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการแทบทุกยุคสมัย แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งรัฐบาลนี้ทำลำบาก เพราะเป็นรัฐบาลระยะสั้น การปฏิรูปต้องใช้เวลายาว แต่รัฐบาลก็ได้ปฏิรูปบางเรื่องที่พอจะทำได้ เช่นวิธีบริหารงบประมาณ โดยให้จังหวัดเป็นหน่วยตั้งงบประมาณได้ นอกจากนี้ ยังมีการปฏิรูประบบข้าราชการที่ปรับเรื่องการจำแนกตำแหน่ง โดยมีกฎหมายออกมาแล้ว การปฏิรูปสื่อที่มี พ.ร.บ.กิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ และเริ่มพัฒนาระบบการจัดระดับความเหมาะสมของรายการโทรทัศน์ หรือทีวีเรตติ้ง ดูแลเรื่องโฆษณาที่มีผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน การรักษาพยาบาล โดยเฉพาะโครงการสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งทุกรัฐบาลพยายามทำ รัฐบาลนี้ก็สานต่อ แต่มาเน้นเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ หรือการป้องกัน เหล่านี้เป็นต้น

รัฐบาลยังเดินหน้าระบบสวัสดิการ และคุ้มครองเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส เน้นการป้องกันความรุนแรงในครอบครัว โดยมีพระราชบัญญัติออกมา กำลังมีผลเร็วๆ นี้ เรื่องสวัสดิการชุมชน ส่งเสริมให้ประชาชน หน่วยงานรัฐและท้องถิ่น จัดสวัสดิการกันเอง โดยเอาท้องถิ่นเป็นตัวตั้ง มีคณะกรรมการที่หลายฝ่ายร่วมกันส่งเสริมให้ประชาชนทำงานกันเองมากกว่าให้รัฐไปชี้นำ

ความเข้มแข็งของชุมชนที่รัฐบาลนี้เน้นคือการแก้ปัญหาความยากจนที่แท้จริงและยั่งยืน ไม่ใช่ไปปลดหนี้ หรือพักหนี้ ซึ่งช่วยได้ชั่วคราว ถ้าชุมชนเข้มแข็งและเป็นชุมชนประชาธิปไตยก็จะแก้ปัญหาการเมืองการปกครองได้ด้วย ซึ่งวันนี้ประชาธิปไตยภาคประชาชนได้เกิดแล้วในท้องถิ่นหลายแห่ง แต่ยังไม่มากพอ

เหล่านี้คือการสร้างความเข้มแข็งของประชาชน เป็นวิสัยทัศน์ที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่วิสัยทัศน์ที่เอาประโยชน์เฉพาะหน้าไปให้ แต่เรื่องเหล่านี้ใช้เวลา และก็มักไม่เป็นข่าวมาก หรือไม่ก็เป็นข่าวลำบากไม่เหมือนการแจกของ

เป็นเพราะรัฐบาลอยู่ในภาวะลำบากและประชาชนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ขณะที่รัฐบาลมีภาพที่ไม่สามารถแก้ปัญหาทันกับความต้องการของประชาชน

อาจมีส่วนคือ เมื่อเกิดวิกฤตทางการเมืองและเราก็แก้ด้วยการรัฐประหาร ซึ่งส่วนตัวไม่เห็นด้วย แต่ว่าสถานการณ์ขณะนั้นเหมือนเป็นทางสองแพร่งที่ต่างกันนิดเดียว กล่าวคือทางหนึ่งปล่อยให้เป็นเรื่องที่สังคมจัดการตัวเอง ซึ่งอาจหมายถึงการต้องปะทะ เสียชีวิต บางคนก็เห็นว่า ถ้าจะเกิดก็ต้องเกิด จะเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญ นี่คือแนวคิดของ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่บอกว่า บางทีของมีค่าต้องได้มาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต

อีกแพร่งหนึ่งบอกว่า ถ้าปล่อยไปตามนั้นรับไม่ได้แน่ จึงเลือกการรัฐประหารเพื่อหยุดยั้งการเผชิญหน้า ไม่ให้เสียเลือดเนื้อ ซึ่งจะเกิดหรือไม่ เราก็ไม่รู้ ก็เลยกันไว้ก่อน แต่ของอย่างนี้พิสูจน์ไม่ได้ ช่วงนั้นก็ดูว่า รัฐประหารแล้วน่าจะคลายวิกฤต แต่รากโคนของความเป็นปฏิปักษ์ไม่ได้ถูกถอนไป ความขัดแย้งเชิงแนวคิด ปรัชญา หรือขั้วการเมืองก็ยังอยู่และบังเอิญขั้วการเมืองเดิมถูกยึดอำนาจไปก็ยังไม่หยุดที่จะใช้ความพยายามต่อสู้ ทั้งหมดจึงกลับมาเผชิญหน้ากันอีก นี่คือปรากฏการณ์ของสังคม

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นได้อย่างเสียอย่าง สมมติว่าไม่มีรัฐประหาร ก็คงจะเกิดปรากฏการณ์ที่ได้อย่างเสียอย่างอีกแบบเหมือนกันคือ ถ้าคิดเชิงทฤษฎีก็ได้ว่า ถ้าทำอย่างนั้นจะมีข้อดีข้อเสียอย่างไร เช่นถ้าไม่มีรัฐประหาร ก็คงจะเกิดการเผชิญหน้าและการเสียเลือดเนื้อ แต่สังคมก็จะได้เรียนรู้ และรากโคนของความขัดแย้งก็อาจเบากว่าในสภาพปัจจุบัน

รัฐบาลมาด้วยความคาดหวังสูง จึงแก้ปัญหาลำบากและถูกจับตามากเป็นพิเศษ

ครั้งนี้แปลกกว่าครั้งอื่นๆ ที่เมื่อรัฐประหารเสร็จ เขาก็มอบอำนาจการบริหารให้กับรัฐบาล ก็ถือว่าเป็นความใจกว้างของเขา โดยหวังว่าจะให้เข้าสู่กระบวนการที่คล้ายประชาธิปไตยให้มากที่สุดโดยเร็ว

ฉะนั้น ภารกิจระหว่างคณะรัฐประหารกับรัฐบาล จึงไม่เหมือนกันทีเดียว คนที่มาเป็นรัฐบาลก็ไม่ได้มา เพราะว่าจะมารัฐประหารกับเขา แต่มาเพื่อบริหารประเทศชั่วคราวและจัดการเรื่องต่างๆ เช่น การทำรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เลือกตั้งใหม่ ขณะเดียวกันสถานการณ์ช่วงนั้นบังเอิญมีความคับขันหลายอย่าง ผู้ที่ถูกยึดอำนาจก็ยังพยายามฟื้นคืนอำนาจ ภาวะรัฐบาลจึงเหมือนกับพายเรือไปก็มีคนคอยส่งคลื่นมากระทุ้งท้องเรือ (หัวเราะ) ทำให้ทำงานยากขึ้น

สำหรับประชาชนก็อยากได้อะไรดีๆ เช่น การแก้ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ใครทุจริตต้องถูกจับ อยากได้ความอยู่ดีกินดีโดยเร็ว แต่ทั้งสามเรื่องมันยาก เช่นความสงบภาคใต้ก็เกิดยากเพราะความขัดแย้งปั่นป่วนสะสมมานานและอยู่ในช่วงขาขึ้น

ส่วนการทุจริตระดับต่างๆ ก็ต้องให้เวลากับ คตส. เรื่องการอยู่ดีกินดี รัฐบาลที่แล้วใช้เวลาถึง 5 ปี ประชาชนก็ยังไม่อยู่ดีกินดี แถมยังเกิดปัญหาหนี้สินจนมาร้องเรียนรัฐบาลนี้ เช่นปัญหากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรที่ 5 ปี ก็ยังไม่ได้จัดระบบให้เรียบร้อย มีการรับประกันราคาข้าวให้ราคาสูง พอขายขาดทุน รัฐบาลนี้ก็ต้องมาใช้หนี้แทน 2-3 หมื่นล้านบาท ก็มากินแรงรัฐบาลนี้ ทั้งที่ไม่ได้เป็นต้นเหตุ และยังมีความไม่สุจริตในการรับจำนำข้าวอยู่ด้วย ครั้นไปจัดการเรื่องลำไยก็มีทุจริตอีก ปัญหาพวกนี้จึงสั่งสมมาถึงรัฐบาลนี้ทำให้เสียเวลาต้องมาแก้

เสียงวิจารณ์ว่า เพราะรัฐมนตรีหลายคนเป็นเทคโนแครต ข้าราชการเก่า ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างเชื่องช้า

ระบบราชการก็เป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นกลไกสลับซับซ้อนมาก เมื่อจะปรับปรุงให้ดีก็ยาก ขนาดรัฐบาลที่แล้วใช้เวลาตั้ง 5 ปี เพื่อปฏิรูประบบราชการ สุดท้ายก็ทำได้นิดเดียว เมื่อรัฐบาลมาทำงานต้องอาศัยกลไกของภาครัฐทั้งหมด มันมีความล่าช้า มีความหนืดซับซ้อนอยู่ในนั้น รัฐบาลนี้จึงไม่อยู่ในวิสัยที่จะปฏิรูปหรือปรับเปลี่ยนแบบรุนแรงได้ อย่างผมเองเห็นช่องทางที่จะปฏิรูปเยอะแยะไปหมด แต่คงไม่เหมาะสมที่จะทำ เพราะถ้าทำต้องใช้เวลาและต้องยกเครื่องกันเยอะ จึงทำแค่บางจุดเท่านั้น

กลับมาที่ตัวรัฐมนตรี ผมคิดว่า ทุกคนบริหารจัดการในกระทรวงได้ดี อย่างกระทรวงที่ผมใกล้ชิด เช่นศึกษาธิการ หรือสาธารณสุข ก็มีความก้าวหน้าชัดเจน แต่ถ้าใครอยากดูอย่างละเอียด ก็ลองไปเปรียบเทียบว่า 1 ปีก่อนหน้า กับ 1 ปีที่ผ่านมาแต่ละกระทรวงที่ว่าเป็นอย่างไร ผมคิดว่าหลายอย่างดีขึ้น

ข้อวิจารณ์เรื่องความเป็น “ขิงแก่” เกินไป ถ้าได้คนหนุ่มสาวอาจกล้าตัดสินใจมากกว่านี้

คงไม่เกี่ยว เพราะสิ่งทั้งหลายที่ได้ปฏิรูปก็มาจากขิงแก่ทั้งนั้น ผมกับ นพ.มงคล ณ สงขลา รมว.สาธารณสุข ก็อายุ 66 ปี อาจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษา ก็ 70 กว่าปี ก็ปฏิรูปทั้งนั้น แต่เวลาเราทำเรื่องห้ามโฆษณาเหล้าก็คัดค้าน จะห้ามสูบบุหรี่ในผับก็ค้าน จะปฏิรูปสื่อเรื่องเรตติ้งก็ค้าน นี่ขนาดปฏิรูปไม่มากนะ ซึ่งคนที่คิดปฏิรูปก็คนอายุมากๆ ทั้งนั้น เพราะผ่านประสบการณ์เยอะ เราตกผลึกทางความคิด แต่สังคมยังไม่ตกผลึก

ดูรัฐบาลจะแก้ปัญหารายวันมากเกินไป

บางอย่างถ้าปฏิรูปเยอะๆ มันทำยาก เพราะจะกระทบกระทั่งกันมาก และต้องใช้เวลา และรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลแต่งตั้ง ถ้าปฏิรูปมากมาย ก็จะมีเสียงวิจารณ์ว่า คุณไม่ควรไปเปลี่ยนอะไรมาก อย่างผมอยากให้มีกฎหมายภาษีทรัพย์สิน กฎหมายภาษีมรดก แต่คนในรัฐบาลด้วยกันบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องให้รัฐบาลชุดเลือกตั้งทำ ผมเองคิดว่าแม้เราเป็นรัฐบาลแต่งตั้ง แต่ถ้าเราคิดว่าเรื่องไหนดีก็ควรทำ หากรัฐบาลใหม่เห็นว่าไม่ดีก็เปลี่ยนกลับได้ แต่บางทีปฏิรูปเล็กๆ ผมก็ยังทำไม่ได้เลย เช่นสภาองค์กรชุมชนเป็นเรื่องดี ยังมีคนบอกว่าคุณต้องรอรัฐบาลใหม่ทำ รัฐบาลนี้ไม่ควร

หมายความว่า หากรัฐบาลนี้อยู่อีกปี 2 ปี ก็จะมีผลงาน

ถ้าเราอยู่ระยะยาวซัก 2-3 ปี ก็จะทำได้สะดวกขึ้น แต่นั่นเป็นทฤษฎี ซึ่งเราไม่ควรอยู่ยาวอยู่แล้ว เราควรอยู่ให้สั้นที่สุด เพราะเราไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากกระบวนการประชาธิปไตย แต่ก็ต้องพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ และหลายอย่างเราต้องมาแก้ปัญหาจากรัฐบาลเดิม พร้อมกับพยายามปูพื้นฐาน สร้างกลไก ซึ่งจะเกิดผลดีกับรัฐบาลหน้า เพราะ 1. เราเคลียร์ปัญหาบางอย่างไปแล้ว 2. เราสร้างกลไกสำหรับอนาคต แต่ว่าเครดิตคนจะไม่ค่อยเห็น เพราะเราต้องไปจ่ายขาดทุนแทนรัฐบาลเก่า แก้ปัญหาทุจริต ความบกพร่องต่างๆ และเมื่อสร้างกลไกที่ดีกับรัฐบาลต่อไปคนก็ไม่เห็นอีก

มองว่าวิกฤตทักษิณ และความแตกแยกในสังคม ยังดำรงอยู่ต่อไปหลังรัฐบาลใหม่แค่ไหน

ยังอยู่ ปัญหาเรื่องความขัดแย้งรุนแรง ความคิด ความเชื่อ และความพยายามของแต่ละฝ่าย ก็เป็นเรื่องที่สังคมจะต้องจัดการตัวเอง แต่ผมเชื่อว่าที่สุดแล้วเป็นเรื่องของประชาชน ไม่ใช่เป็นเรื่องของผู้นำฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถ้าประชาชนยังจัดการตัวเองได้ไม่ดี ไม่เข้มแข็ง ก็จะกลายเป็นเบี้ยให้กับผู้นำที่อาจมีจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่งและก็ต่อสู้กัน แต่ในระยะสั้นนี้ขอบอกเลยว่ายังไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งได้แน่

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/138664

<<< กลับ

“ในหลวง-ราชินี”พระราชทานดอกไม้”ไพบูลย”

“ในหลวง-ราชินี”พระราชทานดอกไม้”ไพบูลย”


(ข่าวจาก นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2550 หน้า 14)

                ศ.นพ.วินิต พัวประดิษฐ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี พร้อม รศ.นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ หัวหน้าหน่วยโรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ในฐานะแพทย์เจ้าของไข้นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) แถลงเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ว่า หลังทำบัลลูนเพื่อขยายหลอดเลือดหัวใจที่อุดตัน 1 เส้น ล่าสุดนายไพบูลย์อาการดีขึ้น ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ไม่มีอาการแน่นหน้าอก หรือวิงเวียนศีรษะ ลุกนั่ง ยืน และเดิน รวมทั้งรับประทานอาหาร และพูดคุยได้ตามปกติ

                รศ.นพ.สรณกล่าวว่า ขณะนี้ได้ถอดสายออกซิเจนแล้ว แต่ยังไม่ควรเดินมากนัก เพราะอาการเพิ่งพ้นวิกฤตระยะแรก ยังจำเป็นต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดต่อไป จึงไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมไปจนถึงสัปดาห์หน้า และยังต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องบำบัดผู้ป่วยวิกฤต (ซีซียู) ต่อไป สำหรับหลอดเลือดที่มีอาการตีบอีก 2 เส้น คาดว่าจะทำบัลลูนภายในสัปดาห์หน้า จากนั้นจะย้ายนายไพบูลย์ไปพักที่ห้องพักผู้ป่วยธรรมดาต่อไป

                “คุณไพบูลย์ยังฝากขอบคุณนักข่าวที่เป็นห่วง และฝากถึงเพื่อนสนิทที่เป็นห่วงว่าไม่ต้องมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล เพราะอยากพักผ่อน และไม่ต้องส่งดอกไม้มาเยี่ยม ให้ส่งการ์ดหรืออี-เมลแทน หลังทำบัลลูนครั้งที่ 2 หากทุกอย่างเรียบร้อยเป็นไปตามแผนการรักษา คาดว่าคนไข้นอนพักรักษาตัวสักระยะจะสามารถกลับไปทำงานได้อย่างปกติในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้” รศ.นพ.สรณกล่าว และว่า ระหว่างนี้ หากนายไพบูลย์ต้องการทำงานก็ทำได้ แต่ต้องเป็นงานเอกสารเบาๆ แต่แพทย์แนะนำว่า ไม่ควรมีงานเอกสารมากนัก

                วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ยังมีบุคคลสำคัญทยอยเข้าเยี่ยมนายไพบูลย์อย่างต่อเนื่อง

                อาทิ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี นายสุวิทย์ ยอดมณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้นำกระเช้าดอกไม้เข้าเยี่ยมราว 20 นาที จากนั้นให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนเรื่องงานช่วยแบ่งเบาภาระให้ในบางส่วน โดยงานของ พม.ได้มอบหมายให้ นพ.พลเดช ปิ่นประทีป รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงดูแลแทน และว่า ยอมรับว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดนี้อายุมากแล้ว โรคภัยต่างๆ ก็ต้องมี แต่ก็ได้กำชับให้ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี

                เวลา 15.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ ม.ร.ว.เทพกมล เทวกุล องคมนตรี อัญเชิญแจกันดอกไม้พระราชทานมอบให้นายไพบูลย์ที่ห้องซีซียูด้วย

                นพ.พลเดช ปิ่นประทีป กล่าวว่า งานในกระทรวงคงไม่มีปัญหา เพราะงานส่วนใหญ่นายไพบูลย์ได้มอบหมายให้ตนดูแลอยู่แล้ว และควรให้นายไพบูลย์พักผ่อนอย่างน้อย 1 เดือน โดยไม่ไปรบกวนเลย เพราะยังต้องทำบัลลูนที่หัวใจอีก 2 เส้น จึงอยากให้พักผ่อนสบายๆ เพราะหัวใจเป็นจุดวิกฤตที่สุดของชีวิต

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/137483

<<< กลับ

งานสัปดาห์ที่อยู่อาศัย สร้างถิ่นฐานมั่นคง ด้วยวิถีชุมชนไทย

งานสัปดาห์ที่อยู่อาศัย สร้างถิ่นฐานมั่นคง ด้วยวิถีชุมชนไทย


(คำกล่าวเปิดงาน สัปดาห์ที่อยู่อาศัย สร้างถิ่นฐานมั่นคง ด้วยวิถีไทย” จัดโดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ณ หอประชุมสหประชาชาติ )

     เนื่องในพิธีจัดงานสัปดาห์ที่อยู่อาศัย สร้างถิ่นฐานมั่นคง ด้วยวิถีชุมชนไทย

      ร่วมเฉลิมพระเกียรติในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา

                                    วันศุกร์ที่  ๕  ตุลาคม  ๒๕๕๐

                        ณ หอประชุมสหประชาชาติ ถนนราชดำเนิน

                                                                                            

นมัสการพระคุณเจ้า, Dr.Ravi Rathayake , Director of Poverty and Development Division, UNESCAP ท่านประธานกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ท่านอธิบดีกรมธนารักษ์ ท่านรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้มีเกียรติทุกท่าน

                        ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเฉลิมฉลองวันที่อยู่อาศัยโลก ปี ๒๕๕๐ และเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยของประเทศไทยในวันนี้

                ที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับความมั่นคงของชีวิตและสังคม เกี่ยวพันกับสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ที่จะต้องมีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่มีอิสระและมีศักดิ์ศรี เป็นปัจจัยที่เอื้อให้ครอบครัวมีความมั่นคง มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และสร้างสรรค์กิจกรรมร่วมกับสังคมภายนอกได้ จึงกล่าวได้ว่า ที่อยู่อาศัยถือเป็นพื้นฐานของการสร้างความมั่นคงของมนุษย์ และสร้างความสัมพันธ์ในสังคม ดังนั้นการพัฒนาที่อยู่อาศัย จึงมิใช่การทำโครงการเพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่มีนัยสำคัญของการพัฒนาแบบองค์รวม ซึ่งครอบคลุมถึงการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมด้วย

                รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าปัญหาที่อยู่อาศัยได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาอื่นๆ อันเป็นผลพวงจากปัญหาความไม่มั่นคงในการอยู่อาศัยด้วย อาทิ การพัฒนาสภาพแวดล้อม ปัญหาสุขอนามัย ปัญหาความยากจน ปัญหาสังคม      

                ปัญหายาเสพติด เป็นต้น เพื่อให้บรรลุผลในการแก้ปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงให้การสนับสนุนด้านนโยบายและงบประมาณในการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาและพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการบ้านมั่นคง ซึ่งมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาความไม่มั่นคงในการอยู่อาศัย ด้วยการให้ชุมชนบริหารจัดการและพัฒนาที่อยู่อาศัย ตามที่ชุมชนต้องการ โดยความร่วมมือกับภาคีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้การสนับสนุนโครงการบ้านเอื้ออาทร เพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัยให้ผู้มีรายได้น้อยกลุ่มต่าง ๆ อีกด้วย 

                เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๕๕ บัญญัติว่า บุคคลซึ่งไร้ที่อยู่อาศัยและไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ ย่อมมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากรัฐ หมายความว่ารัฐมีหน้าที่ที่จะต้องจัดสวัสดิการดังกล่าวให้ประชาชนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยและมีรายได้น้อย ทั้งยังเป็นการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด ปัญหาชุมชนบุกรุกที่ดิน และปัญหาคนเร่ร่อนอีกด้วย นับเป็นการเริ่มต้นของสังคมไทยที่บุคคลเหล่านั้นจะได้รับโอกาสให้มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะเป็นหน่วยงานดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งเมืองและชนบททั่วประเทศ เพื่อให้คนไทยทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใด สามารถมีโอกาสมีที่อยู่อาศัย เป็นรากฐานที่มั่นคง ของชีวิตและครอบครัว

                ในโอกาสที่หัวข้อหลักประจำปี ๒๕๕๐ ของวันที่อยู่อาศัยโลก คือ “A Safe City is a Just City” ซึ่งอาจแปลเป็นภาษาไทยว่า “เมืองที่ปลอดภัยคือเมืองที่เป็นธรรม” ซึ่งให้ความสำคัญกับนโยบายและยุทธศาสตร์สร้างความมั่นคง ปลอดภัย และชีวิตที่เป็นธรรม ดังนั้น การสร้างให้เกิดระบบของรัฐและสังคมไทย ที่จะทำให้ประชาชนมีชีวิตอย่างมั่นคง ปลอดภัย และอยู่เย็นเป็นสุข จึงเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง กว้างขวาง และต่อเนื่อง จึงเห็นได้ว่า การแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดและความไม่มั่นคงในการอยู่อาศัย โดยการสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ร่วมกับภาคีอื่นๆ จะเป็นขบวนการพื้นฐานที่นำไปสู่การเสริมสร้างวิถีชีวิตที่มั่นคง ปลอดจากภัยคุกคามต่าง ๆ ตามที่สหประชาชาติได้ให้ความสำคัญไว้

                การจัดงาน “สัปดาห์ที่อยู่อาศัย สร้างถิ่นฐานมั่นคง ด้วยวิถีชุมชนไทย” ในครั้งนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมร่วมเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐  พรรษา การสร้างมิติใหม่เพื่อให้คนจนมีสิทธิและมีความมั่นคงในการอยู่อาศัยอย่างเป็นรูปธรรม จึงเป็นการเฉลิมพระเกียรติที่ยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ทรงเป็นนักพัฒนาที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการพัฒนาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย ดังจะเห็นได้จากการที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัรติย์ ได้ริเริ่มและเป็นผู้นำในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในชุมชนแออัดมาตั้งแต่เมื่อ ๒๐ ปีก่อน และมีแผนงานที่จะพัฒนาชุมชนแออัดในที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้ดียิ่งขึ้นไปในอนาคต การจัดกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ตลอดสัปดาห์    ซึ่งได้แก่ การเปิดชุมชน การลงเสาเอก การจัดสัมมนา การจัดนิทรรศการ และอื่น ๆ โดยมีชุมชนทั่วประเทศเข้าร่วมกิจกรรม ๘๐๐ ชุมชน ๘๐,๐๐๐ คน จึงถือเป็นวาระที่สำคัญ และเป็นมงคลยิ่งสำหรับพวกเราทุกคน

                สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานเฉลิมฉลองสัปดาห์ที่อยู่อาศัยในวันนี้ เพื่อทำให้การจัดงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ในการร่วมกันสร้างหลักประกันอันเป็นพื้นฐานความมั่นคงที่สำคัญที่สุดของชีวิต ครอบครัว และสังคม ขอบคุณครับ

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/135337

<<< กลับ

คำกล่าวเปิดงาน “การนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2550”

คำกล่าวเปิดงาน “การนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2550”


คำกล่าวเปิดงาน “การนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2550” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ณ ห้องประชุมคอนแวนชันเซ็นเตอร์ A (ชั้น 22) เซ็นทรัลเวิลด์

                                                                  คำกล่าวเปิด

                             ในพิธีเปิดงาน การนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2550”

                                            ( Thailand Research Expo 2007)

                                     ในวันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2550 เวลา 09.30 น.

                                  ณ ห้องประชุมคอนเวนชันเซ็นเตอร์ A (ชั้น 22)

                ศูนย์ประชุมบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ณ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

ท่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี / ท่านประธานกรรมการบริหารสภาวิจัยแห่งชาติ / กรรมการบริหารสภาวิจัยแห่งชาติ / กรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ / เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน

ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธาน / ในพิธีเปิดงาน “ การ นำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2550” ( Thailand Research Expo 2007) ในวันนี้  ซึ่งเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว / เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 /โดยได้น้อมนำแนวพระราชดำริต่างๆ มานำเสนอในงานครั้งนี้ / ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นนักวิจัยที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ /โดยทรงมีพระวิริยะอุตสาหะในการศึกษาค้นคว้า / จนเกิดเป็นโครงการตามแนวพระราชดำริต่างๆ มากมาย / เพื่อมุ่งแก้ปัญหาให้กับพสกนิกร / ซึ่งคนไทยควรได้เรียนรู้ที่จะดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทอย่างจริงจัง/ ด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์

“ การ นำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2550” ( Thailand Research Expo 2007) ครั้งนี้/ถือได้ว่าเป็นความพยายามที่ดีมากในการเผยแพร่ผลงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ / และการกระตุ้นความสนใจในการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับงานวิจัย / ให้แก่ประชาชนคนไทยให้ขยายผลต่อไป /  โดยเฉพาะเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับทราบว่า/ ผลงานวิจัยของไทยมีคุณภาพอย่างไร/  ตรงกับความต้องการของประชาชนในทางเศรษฐกิจและสังคมหรือไม่/ เพียงไร/  ทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นและความต้องการของตนเกี่ยวกับการวิจัย/ และสิ่งที่ควรมีการวิจัยต่อไปในอนาคต/ โดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักวิจัยโดยตรง

ท่านผู้ มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน/ การวิจัยนั้น ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ทรงคุณค่าสูงยิ่งต่อความเจริญรุ่งเรืองของสังคม/ เป็นงานสร้างสรรค์อารยธรรมของมนุษย์/ โดยเฉพาะเป็นปัจจัยพื้นฐานในการพัฒนาประเทศให้ยั่งยืนทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม/ เนื่องจากการวิจัยที่มีคุณภาพจะทำให้เกิดความรู้ใหม่/ หรือความคิดใหม่และแนวทางใหม่/  ซึ่งความรู้ใหม่นั้นจะนำมาสู่การแก้ไขปัญหาให้เกิดผลสำเร็จ/  ทำให้การพัฒนาสามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่ติดขัด/ เพื่อไปสู่เป้าหมายที่สังคมมีความปราถนาร่วมกัน/   ในประเทศที่พัฒนาแล้ว/ ยามที่เกิดวิกฤตการณ์หรือมีปัญหาน้อยใหญ่ขึ้นมา/ ขณะที่ทางแก้ไขปัญหายังไม่กระจ่างชัดเจน/ ผู้คนในสังคมจะมองหาความรู้ทั้งเก่าและใหม่/ที่มีฐานมาจากกระบวนการวิจัยที่มีคุณภาพ/  เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ความเป็นจริง/ และใช้ส่องหาแนวทางแก้ไขและหนทางออกจากปัญหาเหล่านั้น/  กล่าวได้ว่า  สังคมที่พัฒนาแล้วต่างเชื่อถือและรู้จักใช้งานวิจัยที่มีคุณภาพ/ มาเป็นแสงสว่างส่องนำให้เกิดปัญญา/  สังคมไทยของเราก็ควรจะมีลักษณะเช่นเดียวกันนี้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับรัฐบาลนี้/ ให้ความสำคัญอย่างสูงยิ่งกับการผลิตงานวิจัยที่มีคุณภาพ/ และการสร้างระบบการวิจัยของประเทศที่เข้มแข็ง หลายท่านในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่คว่ำหวอดในวงการวิจัยมายาวนาน/  ท่านย่อมทราบเป็นอย่างดีว่า/ เรายังคงมีงานที่ต้องทำร่วมกันอีกมาก/ กว่าที่การวิจัยของไทยจะได้รับการพัฒนาจนถึงระดับที่น่าพอใจ/  ที่ผ่านมาได้มีการวิเคราะห์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า/ปัญหาหลักของระบบการวิจัยไทยอยู่ที่งบประมาณวิจัยน้อยเกินไป/  หรือการลงทุนจากภาครัฐต่ำเกินไป/ หลายๆท่านเห็นว่า ประเทศไทยมีสัดส่วนนักวิจัยต่อประชากรรวมต่ำเกินไป/ บางท่านได้ชี้ว่า การวิจัยของไทยค่อนข้างเน้นความต้องการของผู้วิจัย/ มากกว่าประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและสังคม นอกจากนี้/บางท่านยังได้วิเคราะห์ว่า/ปัญหาหลักของระบบการวิจัยไทยอยู่ที่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบริหารจัดการงานวิจัย/ ยิ่งไปกว่านั้น/ การบูรณาการงานวิจัยข้ามสาขาวิชาความรู้ที่สามารถแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างเบ็ดเสร็จยังมีอยู่น้อยเกินไป

ท่านผู้เกียรติที่เคารพ/ ข้อสังเกตุของผู้รู้หลายท่านในวงการวิจัยที่กระผมได้กล่าวถึงมานี้/  อย่างน้อยที่สุดได้ชี้ให้เห็นถึงสิ่งสำคัญประการหนึ่งว่า/  ระบบการวิจัยของประเทศขณะนี้ยังคงมีปัญหาอยู่มากมาย/  จำต้องอาศัยความสามัคคีของทุกภาคส่วนในการร่วมกันคิดร่วมกันทำ/ เพื่อแก้ไขปรับปรุงให้ระบบการวิจัยของประเทศเปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นเรื่อยๆ/ ดังนั้น กระผมจึงคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ทุกหน่วยงานภายในระบบการวิจัยของประเทศ จะก้าวเข้ามาร่วมมือร่วมใจกัน/ ทำให้เกิดพลังสูงสุดของระบบ/ ในฐานะหุ้นส่วนความสำเร็จของกันและกัน โดยร่วมกันทำงานแบบเครือข่ายและแบบกัลยาณมิตรที่ปราถนาดีต่อกัน มีการเรียนรู้บทเรียนความสำเร็จของกันและกัน  โดยอาศัยจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละหน่วยงาน/ มาเชื่อมประสานและเสริมหนุนกันและกัน/ เพื่อให้ทั้งระบบการวิจัยของประเทศก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน/  มีความสำเร็จร่วมกัน/ และมีความภูมิใจร่วมกัน

กระผมคิดว่าถึงเวลาแล้ว/ ที่เราควรจะได้เห็นระบบการวิจัยของประเทศที่มีลักษณะการทำงานระหว่างหน่วยงานแบบแนวราบ/ มากกว่าการทำงานแบบแนวตั้ง  ถึงเวลาที่เราจะมาร่วมกันคิดกันอย่างจริงจังเกี่ยวกับ “การวิจัยระบบ” ของระบบการวิจัยของประเทศ/  ทำอย่างไรเราจะสามารถส่งเสริมให้มี “พลวัตร” ในการพัฒนาของระบบการวิจัยได้อย่างต่อเนื่อง/ มากว่าการหยุดนิ่งอยู่กับวิธีการหนึ่งวิธีการเดียวที่อาจล้าสมัยไปได้ทุกวัน/  กระผมคิดว่าเราควรมาช่วยกัน “จัดลำดับความสำคัญของงานที่เร่งด่วน”และมีผลสะเทือนสูง/ ที่ทุกหน่วยงานในระบบการวิจัยของประเทศจะร่วมกันผลักดันให้บรรลุผลสำเร็จ/  แม้ว่าระบบการวิจัยของประเทศไทยจะยังมีขนาดเล็กมาก/ เมื่อเทียบกับหลายๆประเทศที่พัฒนาไปไกลแล้ว/ แต่หากเรารวมพลังกันทั้งหมดมาทำงานที่เราเห็นร่วมกันว่าสำคัญเร่งด่วน/  ก็น่าจะเกิดพละกำลังที่พียงพอให้งานนั้นสำเร็จได้โดยไม่ยากเกินไป

ท่านผู้เกียรติที่เคารพ/ ในขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้รับมอบหมายจากสภาวิจัยแห่งชาติ/ ให้เป็นเจ้าภาพในการระดมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน/ ปรึกษาหารือร่วมกันเกี่ยวกับการปฏิรูประบบการวิจัยของประเทศ/  เพื่อให้การวิจัยและระบบการวิจัยของประเทศมีความสอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและส่งเสริมการพัฒนาประเทศในอนาคต/  กระผมใคร่จะขอตั้งคำถามที่สำคัญว่า/ เป็นไปได้หรือไม่ ที่สภาวิจัยแห่งชาติจะไม่เป็นเพียง “สภาของนักวิจัย”เท่านั้น แต่ได้รับการยกระดับไปสู่การเป็น “สภาวิจัยเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” กล่าวคือ เป็นการประชุมปรึกษาหารือที่ประกอบด้วยบุคคลจากทุกภาคส่วนที่ครอบคลุมผู้มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของการวิจัยที่กว้างขวางมากกว่านักวิจัย/  และคงจะดีไม่น้อย/  หากสังคมไทยกับนักวิจัย/ จะมีความสัมพันธ์ที่ดีและใกล้ชิดกันมากขึ้นในอนาคต/   เมื่อนั้น สังคมก็จะสนับสนุนและส่งเสริมนักวิจัยและองค์กรวิจัยเป็นอย่างด

สุดท้ายนี้ / กระผมใคร่ขอฝากข้อคิดประการหนึ่งกับท่านผู้มีเกียรติทุกท่านว่า/ การวิจัยที่จะมีประโยชน์สูงต่อมนุษยชาติ ควรเป็นการวิจัยที่มีความใฝ่ฝัน มีจินตนาการ และมีอุดมคติเป็นเครื่องกำกับ เป็นดังคบไฟที่ส่องนำและหล่อเลี้ยงให้เกิดพลังที่สร้างสรรค์ ทำให้สามารถแก้ไขในสิ่งเคยดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้ ให้กลายเป็นจริงขึ้นมา ด้วยความรู้ใหม่ แนวทางใหม่ หรือวิธีการใหม่อันเกิดจากการวิจัย

กระผมของอ้างถึงคำพูดผู้นำของโลกท่านหนึ่งได้เคยกล่าวว่า

“Others see things as they are and say why;  

I dream things that never were and say why not.”

กระผมขอเชิญชวนนักวิจัยไทยทุกท่านได้ลองฝันถึงสิ่งที่ดีงามแก่สังคมของเรา แม้ยังไม่อาจปรากฏเป็นจริงได้ในสังคมไทย  ลองตั้งคำถามว่าทำไมจะเป็นไปไม่ได้ แล้วช่วยกันวิจัยค้นหาทางที่ทำให้เป็นจริงในที่สุด กระผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะได้ร่วมมือร่วมใจกัน / พัฒนางานวิจัยและระบบการวิจัยของประเทศให้มี การพัฒนาอย่างต่อเนื่องต่อไป / และให้เข้าถึงได้ในทุกกลุ่มและทุกระดับมากยิ่งขึ้น / เพื่อเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับสังคมและประเทศชาติต่อไป

บัดนี้ ได้เวลาอันสมควรแล้ว / ผมขอเปิดงาน “การนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ2550” (Thailand Research Expo 2007) / และขออวยพรให้การจัดงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ทุกประการ / ขอขอบคุณ

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/127309

<<< กลับ

“การจัดการทรัพยากรร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างความอยู่เย็นเป็นสุขในสังคมไทย”

“การจัดการทรัพยากรร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างความอยู่เย็นเป็นสุขในสังคมไทย”


สรุปความจากการปาฐกถาพิเศษในการสัมมนาเรื่อง “ป่า : กระบวนการเรียนรู้ในการจัดการทรัพยากรอย่างมีส่วนร่วมในสังคมไทย” จัดโดยศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในวันที่ 9 สิงหาคม 50 ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เรียบเรียงโดย ศรินทร์ทิพย์ จานศิลา

                ในวาระที่ศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (รีคอฟ) ครบรอบสองทศวรรษซึ่งเป็นสองทศวรรษแห่งการเรียนรู้ร่วมกันกับองค์กรหน่วยงานต่างๆ ในจัดการทรัพยากรอย่างมีส่วนร่วม จึงได้จัดสัมมนาระดับชาติเรื่อง “ป่าชุมชน : กระบวนการเรียนรู้ในการจัดการทรัพยากรอย่างมีส่วนร่วมของสังคมไทย” ขึ้น เมื่อวันที่ 9-10 สิงหาคม 2550 ที่ผ่านมา ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ 

                ฯพณฯ ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ให้เกียรติกล่าวเปิดงาน  มอบกองทุนป่าชุมชน และปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การจัดการทรัพยากรร่วมกันเพื่อเสริมสร้างความอยู่เย็นเป็นสุขในสังคมไทย” ว่า

                ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตคนอย่างละเอียดลึกซึ้ง กว้างขวางต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นคนเมืองคนชนบท ทุกคนจึงต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการให้เป็นคุณต่อมนุษยชาติ โดยไม่ก่อความขัดแย้งและนำไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุขในสังคม

                “ที่ผ่านมา…ชุมชนพยายามมีส่วนร่วมในการรวบรวมคนเพื่อเสนอร่างพ.ร.บ.ป่าชุมชน แต่การรวมคนนั้นยังไม่พอ ทุกฝ่ายยังไม่ร่วมกันจริง ยังไม่เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ที่กล่าวเช่นนี้เพราะทรัพยากรเป็นสมบัติร่วมของชาติ สังคม มนุษย์และชุมชน จึงจำเป็นต้องจัดการร่วมกัน โดยคนหลายฝ่ายอย่างต่อเนื่อง

                “..แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 มุ่งมั่นที่จะทำให้เกิด “สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน” โดยมียุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพ ให้ความสำคัญกับการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ รวมทั้งการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยน้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้..

                ..รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่กำลังจะลงประชามติ มีเรื่องของการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหลายมาตรา เช่น ว่าด้วยสิทธิชุมชน ว่าด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน รวมทั้งสนับสนุนเครือข่ายภาคประชาชนในทุกรูปแบบ..

                การจัดการทรัพยากรให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันต้องมีเป้าหมาย คือ เกิดประโยชน์ เหมาะสม เกิดความเป็นธรรม และเกิดความยั่งยืน ทุกฝ่ายต้องคุยกันว่าจะทำอย่างไร โดยมี 3 แนวทางใหญ่ ซึ่งประยุกต์มาจากเรื่องสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ของศ.นพ.ประเวศ วะสี  ดังนี้

  1. การเรียนรู้และการจัดการความรู้ร่วมกัน ทั้งระหว่างคนทำงานทรัพยากร และกับผู้คนส่วนอื่นๆในสังคม ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจและทัศนคติที่ดีต่อกัน จะเห็นว่าชุมชนมีการทำเรื่องนี้อยู่แล้ว และควรส่งเสริมให้ดีขึ้น เป็นระบบมากขึ้น มีการแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น
  2. การขับเคลื่อนเครือข่ายและขบวนการจัดการทรัพยากรโดยชักชวนเชื่อมโยงคนหลายส่วนหลายพื้นที่เข้ามาร่วมกันอย่างครอบคลุม เพียงพอ เพราะทรัพยากรเป็นสมบัติร่วมของคนในสังคม
  3. การมีนโยบาย มาตรการ กฎหมายที่ดี ทั้งรัฐส่วนกลาง รัฐภูมิภาค และรัฐท้องถิ่น ต้องมีทั้งนโยบาย วิธีการ งบประมาณ แผนงานโครงการที่ชัดเจน และสนับสนุนบทบาทภาคประชาชนตามที่เหมาะที่ควร เอื้อต่อการจัดการทรัพยากรร่วมกัน โดยต้องให้ความสำคัญกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และต้องมีการปรับกฎหมายเพื่อเป็นเกราะให้กับประชาชนด้วย การที่เราให้รัฐเป็นผู้ดูแลทรัพยากรฝ่ายเดียวนั้นไม่พอ  ต้องอาศัยชุมชนเข้าไปร่วมด้วย โดยอาจจะเข้าร่วมในรูปแบบของคณะกรรมการร่วม หรือองค์การมหาชน เป็นต้น

                “..ในปัจจุบันสังคมมีความแตกต่างมาก ทำให้เกิดความแตกแยกในบางกรณี เพราะความต้องการไม่ได้ร่วมกัน  บวกกับแนวโน้มบริโภคนิยม  ต้องการได้มากได้เร็ว คำว่า “ร่วมกันจัดการ” จึงยากขึ้นๆ เป็นบทท้าทายที่ต้องหาทางออกให้ทันกับพัฒนาการสังคมที่แตกต่างหลากหลายซับซ้อนและแย่งชิงกันมากขึ้น เราต้องร่วมกันนำสิ่งที่ดีกว่าเข้ามาแทน เช่น เศรษฐกิจพอเพียง การพัฒนาแบบยั่งยืน และความสมดุล..”

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/126078

<<< กลับ