จดหมายถึงญาติมิตรพัฒนาสังคม ฉบับที่ 40 (8 ม.ค. 51)

จดหมายถึงญาติมิตรพัฒนาสังคม ฉบับที่ 40 (8 ม.ค. 51)


ไม่คาดคิดว่าผมกำลังจะอำลากระทรวงการพัฒนาสังคมฯไปพร้อมกับความรู้สึกเศร้าแล เสียใจ แทรกอยู่ในความรู้สึกดีๆ

                อีกประมาณ 1 เดือน คงเป็นเวลาที่ผมจะต้องอำลากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะรัฐมนตรีว่าการ ที่ได้ทำหน้าที่มาปีเศษ

                ผมมีความรู้สึกดีๆสะสมอยู่เป็นอันมากเกี่ยวกับการทำงานกับกระทรวง พม.

                แต่ที่ไม่เคยคาดคิด คือ เมื่อวันอำลามาถึงผมจะมีความรู้สึกเศร้าและเสียใจ แทรกอยู่ด้วยในความรู้สึกดีๆเหล่านั้น

                กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีฐานมาจาก “กรมประชาสงเคราะห์” ซึ่งเคยสังกัดกระทรวงมหาดไทย ก่อนย้ายมาสังกัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม จนในที่สุดเปลี่ยนชื่อเป็น “กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ” สังกัดกระทรวง พม.

                ผมรู้จักและคุ้นเคยกับ “กรมประชาสงเคราะห์” ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2529 รู้จักคุ้นเคยกับอธิบดีของกรมนี้เป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ คุณหญิงสมศรี กันธมาลา คุณไสว พราหมณี เป็นต้น และยังรู้จักคุ้นเคยกับข้าราชการอีกหลายคน

                ได้ช่วยงานและร่วมงานกับกรมนี้มาเป็นอันมากและตลอดมา จนกระทั่ง “กรมประชาสงเคราะห์” เปลี่ยนชื่อและมาเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวง พม. ผมก็ยังตามมาช่วยงานต่อ

                สำหรับกระทรวง พม. ในฐานะเป็นกระทรวงใหม่นั้น ผมเกี่ยวข้องตั้งแต่การตั้งชื่อกระทรวงและการกำหนดวิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์ ฯลฯ ในช่วงการพิจารณาจัดตั้งและต่อมาถึงระยะแรกหลังการจัดตั้ง

                เมื่อกระทรวงฯดำเนินงานเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว ผมก็ได้ช่วยงานและร่วมงานกับกระทรวงฯมากขึ้นและอย่างใกล้ชิด

                ผมจึงรู้สึกเหมือนเป็น “ญาติสนิท” หรือ “เพื่อนสนิท” ของกระทรวงฯมาเป็นเวลานาน

                เมื่อพลเอกสุรยุทธ์มาทาบทามให้ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. ในรัฐบาลของท่าน (เดือนตุลาคม 2549) ผมจึงรับเป็นรัฐมนตรีโดยไม่รู้สึกลำบากใจเท่าใด เนื่องจากรู้สึกคุ้นเคยกับกระทรวงนี้ดี

                หลังจากที่ผมเข้ารับหน้าที่รัฐมนตรี พม. แล้ว ผมเห็นว่างานของกระทรวงฯเดินหน้าไปได้ดีและเร็ว ทั้งนี้โดยความร่วมแรงร่วมใจพากเพียรพยายามของผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงานของกระทรวงฯ ซึ่งผมชื่นชมและขอบคุณมาตลอด

                ผู้บริหารตั้งแต่ปลัดกระทรวง อธิบดีหรือเทียบเท่า และคนอื่นๆ ล้วนมีความสามารถและความตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน

                เราทำงานอย่างเป็นทีม ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ร่วมมือสนับสนุนกันด้วยความเป็นมิตรไมตรีต่อกัน ทำให้งานของกระทรวงฯลุล่วงก้าวหน้าไปด้วยดี เป็นที่พอใจของผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย

                โดยเฉพาะปลัดกระทรวง ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดของข้าราชการประจำ มีประสบการณ์และความสามารถสูง ผมให้ความชื่นชม ให้ความนับถือ และให้การสนับสนุนมาตลอด เช่น แต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงฯ มอบอำนาจในการสั่งการและดำเนินงานของกระทรวงฯอย่างเต็มที่ ให้ความไว้วางใจในการช่วยแก้ปัญหาและจัดการงานยากๆหลายเรื่อง เป็นต้น

                ส่วนอธิบดีและผู้บริหารอื่นๆ ผมก็ชื่นชมในความสามารถและความตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ จึงให้ความไว้วางใจและให้การสนับสนุนในทางต่างๆมาโดยตลอดเช่นกัน

                มีคำกล่าวหา มีบัตรสนเท่ห์ร้องเรียน เกี่ยวกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ อยู่เป็นระยะๆตั้งแต่ในช่วงแรกที่ผมเข้ารับตำแหน่ง แต่ในเมื่อไม่ปรากฏชื่อผู้ร้องเรียน และไม่มีเหตุหลักฐานชัดเจนพอที่จะทำให้คำร้องเรียนมีน้ำหนัก ผมจึงไม่ได้ลงมือทำอะไร เพียงแต่เก็บเรื่องไว้เฉยๆ

                จนกระทั่งคำกล่าวหาร้องเรียนสะสมบานปลายปรากฏในสื่อมวลชนจำนวนมาก (เมื่อเดือน ต.ค. 50) ผมและรมช. (พลเดช) จึงต้องตัดสินใจเสนอท่านนายกฯให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง โดยพยายามสรรหาประธานและกรรมการสอบข้อเท็จจริงที่เชื่อว่าได้รับการยอมรับสูงในความเที่ยงธรรมและความสามารถ

                คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงได้ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน สามารถสรุปผลการสอบข้อเท็จจริงเสนอท่านนายกฯได้ในเดือนธันวาคม 2550

                ผลของการสอบข้อเท็จจริงแสดงว่า ข้อร้องเรียนต่างๆต่อผู้บริหารระดับสูงนั้น มีมูลเหตุอยู่จริง ซึ่งจะต้องมีการดำเนินการต่อไปอีก และจะเป็นการสมควรหากจะย้ายผู้บริหารระดับสูงออกจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ไปดำรงตำแหน่งอีกตำแหน่งหนึ่ง

                นี่คือที่มาของการที่ได้มีคำสั่งย้ายผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง พม. ดังเป็นที่ทราบกัน

                ผมและรมช.พลเดช ได้ไตร่ตรองพร้อมทั้งปรึกษากับท่านนายกฯด้วยแล้ว เห็นว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด คือ ดีต่อประโยชน์ส่วนรวม อันได้แก่ ประโยชน์ของกระทรวง พม. ประโยชน์ของข้าราชการ พม.โดยรวม และประโยชน์ของสังคมและประชาชน

                ไม่มีประโยชน์ของผม หรือของ รมช.พลเดช หรือของท่านนายกฯเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ประการใด

                พวกเราทั้งหมดที่มาเป็นรัฐบาล กำลังจะลาจากในเวลาอีกประมาณ 1 เดือนเท่านั้น เรามิได้ต้องการอำนาจต้องการประโยชน์ หรือต้องการอิทธิพลใดๆ เราขอเพียงที่จะอำลาจากกันด้วยความรักและความเป็นมิตรไมตรีต่อกันก็พอใจแล้ว

                แต่ดูเหมือนว่า กรณีของผมและรมช.พลเดช กับกระทรวง พม. และข้าราชการกระทรวง พม. ทำท่าจะไม่เป็นดังที่ผมคาดหวังเสียแล้ว จากการที่มีข่าวลงในสื่อมวลชนว่า ผู้บริหารและข้าราชการจำนวนหนึ่ง ได้ทำหนังสือร้องเรียนท่านนายกฯ กล่าวหาผมกับ รมช.พลเดช ว่าปฏิบัติไม่เหมาะสมและทำความเสียหายให้กับกระทรวงฯและข้าราชการของกระทรวงฯนานาประการ

                แม้ผมจะมีสติและปัญญาพอที่จะไม่หวั่นไหวกับข้อกล่าวหาดังกล่าว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าและเสียใจ

                เหมือนพ่อแม่ที่รักลูก พยายามทำเพื่อลูกและเพื่อครอบครัวมาตลอด แล้วมาได้รับคำกล่าวหาจากลูกว่า พ่อแม่ เป็นผู้ทำร้ายลูก ทำร้ายครอบครัว

                อดไม่ได้หรอกครับที่จะรู้สึกเศร้าและเสียใจไม่มากก็น้อย

                                                                                                                สวัสดีครับ

                                                                                                           ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/158119

<<< กลับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *