สรุปผลการดำเนินงานกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) (ตอนที่ 2)
๓.๒ โครงการส่งเสริมการทำความดี
( ๑ ) โครงการแผนที่คนดีเรื่องดี – แกะรอยแผนที่ตามหาคนดี ๑๐๐ ตัวอย่าง เผยแพร่ทางโทรทัศน์ หนังสือและ วีซีดี
( ๒ ) สานฝัน ๘๐ ความดีถวายในหลวง – ๘๐ คน ๘๐ เรื่องราวของตัวอย่างผู้ด้อยโอกาส และผู้พิการของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
( ๓ ) ประกาศเชิดชูเกียรติเยาวชนดีเด่นแห่งชาติและผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเยาวชน ประจำปี ๒๕๕๐ ๑๑ สาขากิจกรรม จำนวน ๑๕๖ ราย
( ๔ ) ประกาศเกียรติคุณบุคคล องค์กร และสถานประกอบการดีเด่นด้านสนับสนุนผู้พิการ ประจำปี ๒๕๕๐ จำนวน ๓๓ ราย
( ๕ ) ประกาศเกียรติคุณอาสาสมัครดีเด่นของชาติประจำปี ๒๕๕๐ จำนวน ๑๗๙ ราย และองค์กรที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น ๑๕ องค์กร
๓.๓ สนับสนุนแผนงานส่งเสริมชีวิตมั่นคงปลอดอบายมุข ร่วมมือกับศูนย์คุณธรรม มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส. ) ดำเนินโครงการใน ๕ จังหวัดนำร่อง (น่าน,ตราด,พัทลุง,นครราชสีมา และ กรุงเทพมหานคร) เพื่อสร้างความรู้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนแม่บทส่งเสริมชีวิตมั่นคงปลอดอบายมุข พ.ศ. ๒๕๕๐ – ๒๕๕๒
๔. ขับเคลื่อนทางด้านกฎหมาย
เพื่อให้ยุทธศาสตร์สังคม สามารถดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในระยะยาว จึงได้ผลักดันการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
๔.๑ พระราชบัญญัติที่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติแห่งชาติ จำนวน ๘ ฉบับ
( ๑ ) พระราชบัญญัติการเคหะแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒ ) พ.ศ. ๒๕๕๐
( ๒ ) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ) พ.ศ. ๒๕๕๐
(๓) พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐
(๔) พระราชบัญญัติการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐
(๕) พระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม (ฉบับที่ ๒ ) พ.ศ. ๒๕๕๐
(๖) พระราชบัญญัติพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐
(๗) พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๐
(๘) พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๐
๔.๒ พระราชกฤษฎีกาที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จำนวน ๑ ฉบับ
พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ๒ ) พ.ศ. ๒๕๕๐
๔.๓ ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๕ ฉบับ
(๑) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐
(๒) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๐
(๓) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมสถาบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐
(๔) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมกิจการสตรี พ.ศ. ๒๕๕๐
(๕) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐
๔.๔ (ร่าง) พระราชบัญญัติที่อยู่ในระหว่างขั้นตอน/กระบวนการ จำนวน ๘ ฉบับ
( ๑ ) ร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. …(สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)
( ๒ ) ร่าง พ ระราชบัญญัติส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ พ.ศ. … (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับคืนจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)
( ๓ ) ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมประชาสังคมเพื่อการพัฒนา พ.ศ. … (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับคืนจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)
( ๔ ) ร่างพระราชบัญญัติฟื้นฟูชุมชนและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. … (สำนักงานเลขาธิการ คณะรัฐมนตรี)
(๕) ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการกองทุนซะกาต พ.ศ. … (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)
( ๖ ) ร่า งพระราชบัญญัติปราบปรามวัตถุยั่วยุพฤติกรรมอันตราย พ.ศ. … (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)
(๗) ร่างพระราชบัญญัติคนขอทาน พ.ศ…(สำนักงานคณะกรรมกา รก ฤษฎีกา)
(๘) ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมสถาบันครอบครัว พ.ศ. …. (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับคืนจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)
ฉายแนวคิด “ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ผ่านบทเรียนแห่งการทำงาน
นับจากการเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สิ่งแรกที่คิดคือ งานพัฒนาสังคมควรมียุทธศาสตร์อย่างไร เพราะการทำงานของรัฐบาลควรเน้นนโยบายและยุทธศาสตร์ โดยรัฐมนตรีควรบริหารงานเชิงยุทธศาสตร์ จึงได้หารือกับผู้ทรงคุณวุฒิ จนสรุปเป็นยุทธศาสตร์ ๓ ด้าน คือ ยุทธศาสตร์สังคมไม่ทอดทิ้งกัน ยุทธศาสตร์สังคมเข้มแข็ง และยุทธศาสตร์สังคมคุณธรรม โดยทั้ง ๓ ด้าน ต้องเกี่ยวข้อง สนับสนุน และปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
จากยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ จึงสามารถแปรเป็นนโยบาย แนวทาง รวมถึงมาตรการได้อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นผลให้ผมและทีมงานร่วมกันพัฒนาแนวทางและมาตรการตามยุทธศาสตร์สังคม ๓ ด้านในเวลาต่อๆมา
ตลอดระยะเวลา ๑ ปีเศษของการทำงาน ผลงานที่ประทับใจมากที่สุดคือ การที่เราได้คิดและทำเชิงยุทธศาสตร์ จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งระบบคิดและระบบทำของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงการจัดให้มีกลไกในระดับจังหวัดเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาสังคมเป็นรายจังหวัด ซึ่งกระจายกลไกนี้ไปถึงระดับท้องถิ่น และเน้นการทำงานที่ท้องถิ่นและชุมชน เป็นตัวตั้ง โดยทุกฝ่ายได้ประสานความร่วมมือกัน
การทำงานของกระทรวงตามแนวยุทธศาสตร์ และมีกลไกการกระจายพลังออกไปถึงจังหวัดและท้องถิ่น และมีการรวมพลังในแต่ละจังหวัดและท้องถิ่น จนเกิดการขับเคลื่อนร่วมกันนั้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ซึ่งเป็นการพัฒนาสังคม รวมถึงสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุมและบูรณาการในทุกๆเรื่อง รวมถึงสวัสดิการสังคมที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนต่างๆ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ อันได้แก่ เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ ผู้สูงอายุ และครอบคลุมการพัฒนาครอบครัว การพัฒนาสตรี ตลอดจนการพัฒนาชุมชน และการพัฒนาที่อยู่อาศัย ฯลฯ
ถือว่าการทำให้การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงระบบสวัสดิการต่างๆเกิดพัฒนาการแบบ “กระจายกว้างลงสู่ฐานราก” และบูรณาการทั้งเชิงกลุ่มคนและเชิงประเด็น ซึ่งถือเป็นผลงานที่น่าพึงพอใจ แต่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะดีไปหมดหรือเสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยจะเป็นการปูพื้นฐานเรื่องการวางโครงการ จัดกลไก ดำเนินมาตรการต่างๆไปในทิศทางที่มีพลังมากขึ้น เข้มแข็งมากขึ้น สร้างสรรค์มากขึ้น และควรจะมีความมั่นคงยั่งยืนมากขึ้น ทั้งหมดนี้รวมถึงการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นจากในอดีต โดยเฉพาะการเพิ่มงบประมาณการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม จากเดิมที่ได้เพียงปีละ ๖๐ ล้านบาท มาเป็น ๔๗๐ ล้านบาท ในปี ๒๕๕๐ และยังคงได้รับในจำนวนใกล้เคียงกัน คือ ๔๕๐ ล้านบาท ในปี ๒๕๕๑
นอกจากการจัดสวัสดิการสังคมแล้ว การพัฒนาชุมชน ได้ส่งเสริมขบวนการชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง โดยทำให้ฐานที่มีอยู่แล้ว เกิดการขยายฐานและเสริมสร้างสิ่งใหม่ เช่น การส่งเสริมและขยายผลเกี่ยวกับการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชน การมีระบบสวัสดิการชุมชนให้เดินหน้าไปได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่การพัฒนาที่อยู่อาศัย ได้คลี่คลายปัญหาวิกฤตที่สะสมมาจากอดีต โดยการสร้างสรรค์ทิศทางใหม่ รวมถึงการมีแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย
และสิ่งที่ได้ปูพื้นฐาน วางแนวทาง ตลอดจนงบประมาณต่างๆ ถือเป็นแนวทางที่ควรจะสานต่อ โดยเฉพาะการกระจายพลังไปที่จังหวัดและท้องถิ่น ตลอดจนการสนับสนุนให้รวมพลัง ณ จังหวัดและท้องถิ่น เป็นการรวมพลังหลายฝ่ายและหลายด้าน น่าจะเป็นหนทางที่นำสู่การสร้างความเข้มแข็ง รวมถึงการสร้างความสามารถในการจัดการร่วมกันของชุมชน ประชาชน หน่วยงาน และองค์กรต่างๆ ให้เป็นไปในทางของการรวมพลังสร้างสรรค์ให้ดียิ่งขึ้น เพราะจะเป็นการสร้างฐานรากที่แข็งแกร่ง และความสามารถที่ฐานราก โดยเฉพาะความสามารถในการจัดการร่วมกัน ซึ่งจะเป็นการสร้างสังคมที่เข้มแข็งอย่างแท้จริง
“ชุมชน” จึงถือเป็นฐานรากที่สำคัญของสังคม ฉะนั้นการมีชุมชนเข้มแข็ง สามารถจัดการตนเองในเรื่องต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สุขภาพ สวัสดิการ คุณธรรมและจริยธรรม จะถือเป็นฐานรากที่แข็งแรง และกระจายอยู่ทั่วทั้งสังคม เป็นฐานรากเล็กๆ แต่เมื่อรวมกันแล้วจะสามารถค้ำยันสังคมให้มีความเข้มแข็งมั่นคง จึงถือว่างานพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชน เป็นงานที่สำคัญมาก เพราะเกี่ยวข้องกับทุกเรื่อง และเกี่ยวข้องกับชีวิตคน ชุมชนจึงเป็นที่บูรณาการของทุกอย่างในสังคมได้อย่างดี
ฉายแนวคิด “พลเดช ปิ่นประทีป”
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ผ่านบทเรียนแห่งการทำงาน
ในฐานะเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ช่วง ๕ เดือนแรก และฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ช่วง ๑๐ เดือนหลัง ผมมีโอกาสได้ช่วยในการบริหารนโยบายและกำกับดูแลการดำเนินงานเชิงยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อรองรับยุทธศาสตร์สังคมแห่งชาติอย่างต่อเนื่องและค่อนข้างเต็มตัว แต่ด้วยข้อจำกัดทางด้านระยะเวลาการทำงานที่มีเพียงแค่ 15 เดือน จึงต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษใน ๖ ภารกิจหลัก ซึ่งขอสะท้อนมุมมองส่วนตัวดังต่อไปนี้
๑. การพัฒนากฎหมายสำคัญให้เป็นเครื่องมือการทำงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เนื่องจากการแก้ปัญหาสังคมและการพัฒนาประเทศเพื่อความมั่นคงของมนุษย์นั้นมีมิติที่ซับซ้อน มีความเป็นพลวัตรสูง ต้องอาศัยระยะเวลาและการประสานร่วมมือระหว่างกระทรวงและหน่วยงานที่หลากหลายมาก การมีกฎหมายเชิงส่งเสริมจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
แต่ด้วยเหตุที่กฎหมายไทยที่มีอยู่ส่วนใหญ่ยังคงให้น้ำหนักกับบทลงโทษ สำนักคิดและสถาบันทางกฎหมายในปัจจุบันจึงคุ้นชินต่อกฎหมายที่ออกมาเพื่อบังคับลงโทษมากกว่ากฎหมายในเชิงส่งเสริมสนับสนุนสังคมให้มีกระบวนการเรียนรู้และจัดการปัญหาด้วยตนเอง อันเป็นกระบวนทัศน์ใหม่
อย่างไรก็ตามในภาพรวมการทำงาน ๑๕ เดือนที่ผ่านมา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีผลงานการพัฒนากฎหมายอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ กล่าวคือ สามารถผ่านพระราชบัญญัติรวม ๘ ฉบับ, พระราชกฤษฎีกา ๑ ฉบับ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ๕ ฉบับ
โดยแม้ว่า (ร่าง) พระราชบัญญัติที่ถือเป็นกฎหมายเชิงยุทธศาสตร์ ๔ ฉบับ อันได้แก่ (ร่าง) พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน, (ร่าง) พระราชบัญญัติส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ, (ร่าง) พระราชบัญญัติส่งเสริมประชาสังคมเพื่อการพัฒนา และ (ร่าง) พระราชบัญญัติส่งเสริมครอบครัว จะไม่สามารถออกเป็นกฎหมายได้ แต่คณะรัฐมนตรีก็ยังคงเห็นความสำคัญให้ออกเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี สำหรับเป็นเครื่องมือในการทำงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นการทดแทน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ดี แนวคิดและความพยายามในการยกร่างและผลักดันเสนอกฎหมายทุกฉบับ โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของสังคม โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายและภาคีที่เกี่ยวข้องโดยตรงนั้น ได้สร้างความตื่นตัว ความสนใจจากสาธารณะและสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง ทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการสร้างโจทย์ต่อหน่วยงานด้านกฎหมาย ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนว่า ถึงเวลาหรือยังในการปรับกระบวนทัศน์และวัฒนธรรมการออกกฎหมาย โดยให้ความสำคัญต่อกฎหมายเชิงส่งเสริมให้มากขึ้น อย่างเท่าเทียมกับกฎหมายเชิงควบคุม บังคับและลงโทษที่มีอยู่แล้วเป็นจำนวนมาก
อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/162480