ประชาสังคมกับการปฏิรูปสังคมไทยในภาวะวิกฤติ (ต่อ)

ประชาสังคมกับการปฏิรูปสังคมไทยในภาวะวิกฤติ (ต่อ)


ชุดที่ 2 คือภาคธุรกิจ เมื่อวานนี้เองมีการจัดสัมมนาใหญ่ที่โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค เรื่อง

“ ธุรกิจเพื่อสังคม พลังขับเคลื่อนการปฏิรูประเทศไทย”  มีผู้แทนจากองค์กรภาคธุรกิจ  7-8 คนมาพูดกันว่าในส่วนของเขาจะทำอะไร  หอการค้าจะทำอะไร ธุรกิจต่าง ๆ จะทำอะไร สภาอุตสาหกรรมจะทำอะไร สมาคมธนาคารไทยจะทำอะไร สภาธุรกิจตลาดทุนจะทำอะไร สภาการท่องเที่ยวจะทำอะไร  มีตัวแทนของภาคประชาสังคมคือ สสส. เข้าไปพูดเหมือนกันว่าจะทำอะไร  ท่านนายกไปพูดปิดท้ายของครึ่งเช้า ท่านพูดดี ท่านพูดถึงบทบาทของธุรกิจกับการขับเคลื่อนประเทศไทย   ผมเองก็ไปเป็นองค์ปาฐกในตอนเช้า   ผมก็เสนออย่างเดียวกันครับว่าต้องทำงานในเชิงพื้นที่ ถึงจะเห็นรูปธรรม   ผมเสนอให้จัดกิจกรรม กระจายคลุมทั้งประเทศได้ ซึ่ง พื้นที่ที่คิดว่าเป็นพื้นที่ระดับยุทธศาสตร์คือจังหวัด ผมก็เสนอแนะว่าอาจจะลองไปทำที่จังหวัดใกล้ๆกรุงเทพฯ   เช่นจังหวัดนครปฐม เพราะบังเอิญมีมหาวิทยาลัยมหิดลอยู่และเขาก็สนใจที่จะร่วมด้วย  ฉะนั้นถ้าไปจัดที่นครปฐมก็จะมีตัวแทนขององค์กรชุมชน ของประชาสังคม ของฝ่ายวิชาการ ฝ่ายศาสนา ฝ่ายสื่อ และอื่นๆของจังหวัดนครปฐม  ส่วนภาคธุรกิจในจังหวัดนครปฐม ก็จะมี สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครปฐม หอการค้าจังหวัดนครปฐม  สภาการท่องเที่ยวจังหวัดนครปฐม  ชมรมธนาคารจังหวัดนครปฐม และอาจมีสภาธุรกิจตลาดทุนจังหวัดนครปฐมด้วยก็ได้  ข้อนี้ผมไม่แน่ใจ แต่เฉพาะภาคธุรกิจมี 5-6 แขนง พร้อมเข้าร่วมได้อย่างแน่นอน

 

ชุดต่อไปหรือชุดที่ 3  ก็คือ ภาครัฐ ได้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด ราชการส่วนภูมิภาค นายอำเภอ รวมถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เรามีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อบจ. อบต. เทศบาล  ก็ถือเป็นภาครัฐประเภทท้องถิ่น  และก็มีหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ที่ไปทำงานในจังหวัดนครปฐม เช่น สสส. พอช. สปสช. หลายท่านคงคุ้นเคยกับชื่อเหล่านี้ รวมไปถึงหน่วยงานของกระทรวงต่าง ๆ ที่ไปทำงานที่จังหวัดนครปฐม ส่วนในภาควิชาการก็มีมหาวิทยาลัยมหิดล  มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นต้น

 

ทั้งหมดนี้ควรมารวมพลังกัน ผมเรียกว่า “เครือข่ายพหุภาคีขับเคลื่อนจังหวัด” หรืออาจเรียกยาว ๆ ว่า  “เครือข่ายความร่วมมือพหุภาคีรวมพลังสร้างสรรค์ขับเคลื่อนจังหวัดไปสู่การพัฒนาที่พึงปรารถนา” ซึ่งเขาจะต้องไปทำงานร่วมกัน และก็คิดกันว่าอยากจะเห็นจังหวัดของเขาพัฒนาไปอย่างไร และเขาจะทำอะไรกันบ้าง อะไรที่เขาทำได้เอง อะไรที่จะนำเสนอหน่วยเหนือเพื่อให้ความเห็นชอบ เช่นบางอย่างต้องให้รัฐบาลแก้กฏหมายหรือข้อบังคับหรือแก้ไขนโยบาย บางอย่างจังหวัดทำได้เองแต่ต้องเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดทำ  หรือ อบจ.ทำ หรือเทศบาลทำ หรือ อบต.ทำ บางอย่างต้องลงไปถึงท้องถิ่นนะครับ  ชุมชนควรต้องทำอะไร ชุมชนท้องถิ่นก็ดี  โรงเรียน วัด จะทำอะไร   เกี่ยวพันกันหมดนะครับ เช่น สมมติว่าจะปรับปรุงเรื่องการท่องเที่ยว จะเกี่ยวพันไปหมดตั้งแต่ อาคารสถานที่ โบราณสถาน ร้านค้า ชุมชน ศิลปะวัฒนธรรม ศาสนา และบางแห่งเดี๋ยวนี้ฝรั่งนิยมมาเมืองไทยมาฝึกสมาธิ ทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าพูดกันที่จังหวัด ความเป็นรูปธรรม การเห็นถึงลูกถึงคนจะดีขึ้น แล้วก็ที่ผมว่าเป็นระดับยุทธศาสตร์ก็คือว่า ที่จังหวัดเป็นที่ๆทุกฝ่ายอยู่และมีหน่วยงานจัดการอยู่ที่นั่น เบ็ดเสร็จในตัว และที่หลายฝ่ายเรียกร้องว่า  อยากให้จังหวัดจัดการตนเองให้ได้มากที่สุด     ให้ท้องถิ่นจัดการตนเองให้ได้มากที่สุด     ซึ่งรัฐบาลนี้ก็ดูว่าขานรับนะครับ เพราะมีนโยบายกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่นมาตั้งแต่ต้น  เมื่อ 2-3 วัน     ก็พูดกันใช่ไหมครับกับที่ประชุมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ   คำว่ากระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นไม่ใช่กระจายให้ อบจ. เทศบาล อบต. เท่านั้น แต่ต้องกระจายให้ประชาชนด้วย   โดยราชการส่วนภูมิภาควรเล่นบทเป็นผู้ประสานและเป็นผู้ที่คอยกำกับดูแลเชิงนโยบายของประเทศ หรือของรัฐบาลส่วนกลาง   แต่บทบาทหลักในการจัดการดูแลท้องถิ่นควรอยู่ที่ อบจ. อบต. เทศบาล เขาเป็นรัฐบาลของท้องถิ่นและเพื่อท้องถิ่นนะครับ  และเขาก็ควรต้องใช้ความเป็นประชาธิปไตยที่ดี นั่นคือให้ประชาชนฐานรากมีบทบาทในการเมืองการปกครองอย่างเหมาะสมและเพียงพอ ที่เราเรียกว่า Participatory Democracy คือเป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม หรือดียิ่งกว่านั้นก็เป็นประชาธิปไตยแบบร่วมไตร่ตรองที่ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Deliberative Democracy

ในระดับท้องถิ่น  การมาร่วมคิดร่วมทำ  สามารถทำได้สะดวก หลายท้องถิ่นทำไปแล้ว  และทำได้ดี ในระดับจังหวัด ก็ยังสามารถให้ประชาชนมาร่วมคิดร่วมทำกันได้ไม่ยากนัก แต่ระดับชาติต้องยอมรับว่ายากหน่อย   ฉะนั้นการเอาจังหวัดเป็น Strategic Area หรือพื้นที่ยุทธศาสตร์ จึงน่าจะเหมาะสมจากจังหวัดจะส่งผลลงไปข้างล่างก็ไม่ยาก และอะไรต้องขึ้นมาข้างบนก็ขึ้นได้ไม่ยากเช่นกัน

 

การทำงานหรือกิจกรรมของภาคประชาชนหรือภาคประชาสังคม ซึ่งไม่ใช่รัฐและไม่ใช่ภาคธุรกิจ  ย่อมต้องหรือสมควรต้องโยงใยกับภาครัฐและโยงใยกับภาคธุรกิจด้วย และควรให้เป็นแบบเกื้อกูลซึ่งกันและกัน  ผมอยากเสนอตรงนี้แหละว่า วิธีทำงานร่วมกันในระดับจังหวัดตามที่กล่าวมานั้น จะเป็นวิธีที่ไปส่งเสริมภาคประชาสังคมพร้อม ๆ กับการแก้ไขปัญหา   ฟื้นฟูประเทศ แก้วิกฤติ    สร้างความปรองดอง ไปในตัว แม้ในกรณีที่จะสร้างความปรองดองโดยตรง  ก็อาจจะทำได้ไม่ยากนัก  หรือจังหวัดหนึ่งทำได้  แต่อีกจังหวัดหนึ่งอาจจะทำไม่ได้  ก็จะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน แม้กระทั่งหมู่บ้านหนึ่งที่ดอนเมือง เขามีทั้งเสื้อแดงเสื้อเหลือง แต่พอมีคนชวนเขามานั่งคุยออก TV เขาก็มานั่งคุยกันแล้วรู้สึกดีขึ้น การได้คุยกันมักจะทำให้รู้สึกดีขึ้น  ถ้ายิ่งไม่ได้คุย เรายิ่งสร้างอคติมากขึ้นนะครับ  แต่ถ้าได้พูดได้คุยกันแล้วอคติจะค่อยๆลดลง กลายเป็นสมานฉันท์ได้ในที่สุด  ฉะนั้นในระดับจังหวัดหรือลงไปในระดับตำบล   หมู่บ้าน    การสร้างความปรองดอง  ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม จะสมารถทำได้อย่างไม่ยากเกินไปเลย

 

การไปพัฒนาจังหวัดร่วมกันเป็นการสร้างความปรองดองโดยอ้อม  พอเรามีจุดมุ่งหมายหรือเป้าประสงค์ร่วมกันความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ง่าย   ถึงไม่ค่อยชอบหน้ากันแต่ก็พอจะอยู่ด้วยกันได้ โดยไม่ใช้กำลังเบียดเบียนหรือทำร้ายกัน   ยิ่งทำงานพัฒนาได้สำเร็จยิ่งปรองดองมากขึ้น  เหมือนทีมรักบี้อาฟริกาใต้เล่นได้ดี ชนะเลิศเป็นแชมเปี้ยนโลก  โอ้ย คนดำคนขาวกอดกันได้เลย  จากที่เคยเกลียดกันเต็มที่  สำหรับประเทศไทยเรา สมมุติที่เชียงใหม่ สถานการณ์ยังคุกรุ่นอยู่  ผมก็ว่าในเชียงใหม่คงมีคนในภาคประชาสังคมนี่แหละครับที่จะช่วยเป็นคนกลาง ช่วยพูด ช่วยทำให้เกิดความเข้าใจระหว่างคนเชียงใหม่ด้วยกัน   ยังไม่ต้องระหว่างเชียงใหม่กับกรุงเทพฯ  เอาระหว่างคนในเชียงใหม่ด้วยกันก่อน ถ้าคนในเชียงใหม่ปรองดองกันได้จะค่อย ๆ ทำให้คนในจังหวัดอื่น ๆ  จนกระทั่งระดับประเทศปรองดองกันได้ในที่สุด   แต่ขณะนี้กลายเป็นว่าระดับชาติไม่ปรองดองกันและขยายความไม่ปรองดองไปยังต่างจังหวัด  เราต้องทำสวนทางกัน ทำต่างจังหวัดให้ปรองดองกันได้  ที่ไหนทำได้แค่ไหนก็ทำแค่นั้น   แต่เชื่อว่าจะสามารถทำได้มากขึ้นมากขึ้น มันจะค่อยๆลด Degree ของความขัดแย้งส่วนกลางลง

สำหรับในส่วนกลาง ถ้าสามารถมีคนกลางหรือมีใครไปช่วยดำเนินการให้ได้  ซึ่งเรื่องนี้ไม่ง่ายเลยนะครับและจะต้องใช้ศิลปะเยอะ  แต่เราก็ควรจะต้องพยายามคิด  พยายามทำไป อาจต้องดั้นด้นไป  ไม่ได้ทางนี้เอาทางนั้น  ไม่ได้ด้วยวิธีนั้นมาพยายามวิธีนี้ พยายามไปเรื่อย ๆ ผมเชื่อว่าเราจะสำเร็จได้ในที่สุด  ก็หวังว่ารัฐบาลก็ดี  คณะกรรมการอาจารย์คณิตก็ดี  ที่มุ่งจะสร้างความปรองดอง จะสามารถทำได้สำเร็จในระยะเวลาที่ไม่นานเกินไป  เพราะสิ่งที่เป็นปัญหาขัดข้องของประเทศมากที่สุดขณะนี้ก็คือความแตกแยก  นี่แหละไม่มีอะไรร้ายแรงเท่า  พอแตกแยกแล้วก็ทำให้ทุกอย่างเสียไปหมด  บรรยากาศในสังคม ในครอบครัว   การเศรษฐกิจ  ภาพลักษณ์ต่างประเทศ  สารพัดอย่างเสียไปหมด  เราเองก็เดือดร้อน  ลูกหลานเราก็เดือดร้อน  เราจะเดือดร้อนเสียหายกันมากถ้าเราแก้เรื่องนี้ไม่ตก  แต่ผมเชื่อว่าเราจะสามารถแก้ให้ตกได้
และเราต้องพยายามแก้ให้ได้
 วิธีหนึ่งที่จะแก้ได้ก็ด้วยภาคประชาสังคมนี่แหละครับ   ถ้าเราส่งเสริมภาคประชาสังคมดี ๆ จะมีส่วนช่วยได้แน่นอน   ถ้าภาคประชาสังคมเข้มแข็งหมายถึงสังคมเราเข้มแข็ง ถ้าสังคมเราเข้มแข็งเรื่องความแตกแยกและปัญหาต่าง ๆ ของสังคมจะแก้ไขหรือป้องกันได้   เป็นเรื่องไก่กับไข่นะครับ  ขณะนี้สภาพต่าง ๆ ไม่เอื้ออำนวย   สังคม  ประชาสังคม ก็อ่อนแอไปด้วย   แต่ถ้าสังคม  ประชาสังคมเข้มแข็งขึ้นมา   ก็จะทำให้สภาพต่าง ๆ ในสังคมเอื้ออำนวยมากขึ้น ก็กลับไปช่วยสังคม ช่วยประชาสังคม  เป็นเรื่องที่เราต้องมาช่วยกันคิดว่า เราจะตัดวงจรที่เลวตรงไหน  จะเริ่มวงจรที่ดีตรงไหน

ผมคิดว่าเราจะเริ่มตรงไหนก็ได้  ถ้าเราเริ่มอย่างที่ผมเสนอแนะว่าเราลองไปจัดกระบวนการที่จังหวัดโดยอาจจะเริ่มต้นที่จังหวัดนครปฐม  เหตุเพราะอยู่ใกล้และเมื่อวานผมก็ได้พูดกับบางท่านและหลายท่านตอบรับ และอาจจะมีการประสานความร่วมมือระหว่างหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ที่เขาจัดสัมมนาเมื่อวาน  สสส. มหาวิทยาลัยมหิดล   หอการค้า สภาอุตสาหกรรม   เป็นต้น การไปจัดที่จังหวัดเราจะได้รูปธรรมและลงมือทำได้เลย  เช่นจัดระบบท่องเที่ยวให้ดีขึ้นได้เลย จัดระบบอุตสาหกรรมให้ดีขึ้นได้เลย  ให้มีปัญหากับประชาชนน้อยลง  เกื้อกูลประชาชนมากขึ้น  หรือว่าดูแลเรื่องการเงินการทองของประชาชน  แก้ปัญหาหนี้สิน พัฒนาการเกษตรที่เหมาะสม  กิจกรรมรูปธรรมพวกนี้แหละครับ ที่ผู้เกี่ยวข้องสามารถลงไปทำได้เลย  ถ้าทำอย่างนั้นได้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี   ส่วนที่จะไปขยายวิธีการส่งเสริม สนับสนุนประชาสังคมในรูปแบบอื่นๆ  ก็สามารถทยอยทำตามแนวทางที่เขียนไว้ในระเบียบนั่นแหละครับ   เช่นควรจะมีงานวิจัย และการสนับสนุนงานวิจัย ควรจะมีการพัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการส่งเสริมประชาสังคมเพื่อการพัฒนา  ควรจะมีการพัฒนานวัตกรรมด้านการพัฒนาสังคม     และการสนับสนุนประชาชนในการรวมกันเป็นกลุ่มหรือเป็นองค์กรด้านประชาสังคม  หรือเป็นเครือข่ายประชาสังคม  การส่งเสริมความเข้มแข็งของกลุ่ม ขององค์กรและของเครือข่ายประชาสังคม  การสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมขององค์กรด้านประชาสังคม  ซึ่งทั้งหมดนี้ระบุไว้ชัดเจนในระเบียบ ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานได้โดยสะดวก

พูดถึงงานวิจัยผมเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก   หลายครั้งที่เราทำงานพัฒนา เราใช้สามัญสำนึก
ใช้ความรู้สึก  ความเชื่อ  แต่ขาดงานวิจัยสนับสนุน  ถ้าเรามีงานวิจัยสนับสนุนในเรื่องการพัฒนาประชาสังคม จะทำให้สามารถทำได้ดีและทำได้เร็วอย่างมีความมั่นใจมากขึ้น ในการนี้คงจะต้องมีการลงทุนลงแรงพอสมควรหรือให้มากพอ   แต่พอได้ผลมาแล้วจะเป็นเครื่องมือสำคัญช่วยให้เราเห็นว่า  เราเป็นอย่างไรกันแน่ จุดแข็งเราอยู่ตรงไหน จุดอ่อนเราอยู่ตรงไหน ถ้าจะพัฒนาต่อไปจะต้องทำอะไรบ้างและมีอะไรเป็นอุปสรรคขัดขวางบ้าง  ถ้าอุปสรรคเป็นกฎหมายข้อบังคับจะต้องแก้ตรงไหน  ถ้าเป็นประเพณีวัฒนธรรมจะต้องแก้ตรงไหน หรือต้องส่งเสริมตรงไหน  งานวิจัยช่วยได้มาก อย่างนี้เป็นต้น นี่แค่เป็นตัวอย่างนะครับ

ผมคิดว่าที่ผมได้แลกเปลี่ยนความคิดกับท่านทั้งหลาย หรือว่าปรารภความคิดกับท่านทั้งหลายคงเป็นประโยชน์บ้างตามสมควร  สำหรับประยุกต์ใช้ในการเริ่มต้นงานอันสำคัญของ “คณะกรรมการส่งเสริมประชาสังคมเพื่อการพัฒนาแห่งชาติ”  และท่านก็ได้ผู้นำที่ดี  ทั้งท่านรองนายกสุเทพและท่านรัฐมนตรีอิสระ  ท่านปลัดทั้งคนเดิมที่ดำรงตำแหน่งอยู่และที่จะขึ้นมาใหม่ในเวลาอันใกล้นี้    คงจะส่งเสริมสนับสนุนทีมงานต่างๆของกระทรวง พม. ซึ่งผมเชื่อว่ามีความพร้อมอยู่  มีความกระตือรือร้นที่จะทำงานด้านนี้อยู่  และงานด้านนี้ก็ได้ทำบ้างแล้ว ไม่ใช่มาเริ่มใหม่  การที่จะสานต่อไปจึงน่าจะไม่ยากจนเกินไป   ซึ่งจะสอดคล้องต้องกัน เสริมหนุนซึ่งกันและกันกับงานอื่นๆของกระทรวงได้เป็นอย่างดี   อาจกล่าวได้ว่าถ้าทำงานประชาสังคมได้เต็มที่สมบูรณ์แบบ   จะเป็นงานหลักของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  และจะสอดแทรกเข้าไปในแทบจะทุกเรื่องที่เป็นภารกิจหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  บ่ายนี้ผมก็ต้องไปพูดอีกที่หนึ่ง เรื่องประชาสังคมกับการป้องกันแก้ไขปัญหาของ เด็ก เยาวชน คือเรื่องที่เกี่ยวพันกับประชาสังคมจะสอดคล้องกันหมดครับ  เพราะประชาสังคมที่ผมกล่าวถึงตั้งแต่ตอนต้นว่าคือกิจกรรมของประชาชนที่รวมตัวกันโดยเฉพาะในเรื่องที่สร้างสรรค์ อย่างไรก็ดีคำว่าประชาสังคม อาจมีความหมายในทางที่ดีก็ได้  ไม่ดีก็ได้นะครับ  แก๊งรถซิ่งจักรยานยนต์นี่ก็คือประชาสังคมเหมือนกัน  แต่เราคงไม่คิดว่าดีใช่ใหมครับ  คือคำว่า “ประชาสังคม” จะคล้ายกับคำว่า “วัฒนธรรม” คือ ดีก็ได้  ไม่ดีก็ได้  คำว่า “ ประชาธิปไตย” ก็เป็นอีกคำหนึ่งที่สามารถเป็นประชาธิปไตยแบบเลวก็ได้   แบบดีก็ได้  ฉะนั้นการที่ประชาสังคมอาจดีก็ได้เลวก็ได้นั้น  เราต้องยอมรับ อะไรไม่ดีเราก็เลิกเสียหรือแก้ไข ป้องกัน ไม่ให้คงอยู่ต่อไป  ส่วนอะไรดีเราก็ควรส่งเสริมสนับสนุนให้มีมากขึ้นหรือดีมากขึ้น

 

แต่ถ้ากล่าวโดยทั่วไป “ประชาสังคม” คือกิจกรรมที่ดีของประชาชน  เป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ซึ่งควรได้รับการส่งเสริมสนับสนุน   แต่การส่งเสริมสนับสนุนถ้าเราเลือกจุดที่เป็นยุทธศาสตร์  เช่นกรณี
ที่ผมเสนอเกี่ยวกับ  “การรวมพลังเครือข่ายพหุภาคีขับเคลื่อนจังหวัด”  นั้น  ผมคิดว่าเป็นยุทธศาสตร์สามารถทำได้ทุกจังหวัด   แต่อย่าไปทำพร้อมกันทุกจังหวัดทีเดียวเลยนะครับ  ควรเริ่มเพียง 1,2,3 จังหวัด แล้วค่อยขยาย  ถ้าทำแล้วผลออกมาดี  จะมีจังหวัดอื่นตามมา และจะไปได้เร็วในภายหลัง โดยเป็นการไปเร็วที่ได้ผลดีด้วย 
คือถ้าเราไปเริ่มเร็วเกินไป มักจะทำไม่ดี แล้วกลายเป็นช้าในภายหลัง  ฝรั่งเขามีคำพูดว่า  “Go slow in order to go fast ”  หมายความว่า ไปช้า ๆ ก่อนแล้วจะเร็วทีหลัง แต่ถ้าเราไป Go Fast ในตอนแรกในที่สุดจะต้อง Go Slow เพราะจะต้องกลับมาแก้ไขข้อติดขัดหรือข้อขัดข้องต่างๆ นิสัยคนไทยมักจะเป็นแบบหลัง ทำอะไรชอบทำเร็วและก็เกิดการติดขัดยุ่งเหยิงนานาประการ  ก็เลยต้องมารื้อของเก่าทำใหม่  ทำให้เรื่องเดินไปได้ช้า ในภายหลัง แต่ถ้าเริ่มช้าหน่อย อย่างในประเทศญี่ปุ่น เวลาจะตัดสินใจทำอะไร เขาจะต้องถามคนเยอะแยะไปหมด แม้นักการภารโรงเขาก็ถามด้วย   แต่เวลาตัดสินใจได้แล้วเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้เรื่องหมดและเห็นชอบ จึงสามารถปฏิบัติไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วมากเลย  คือช้าทีแรกแต่ไปเร็วทีหลัง ผมก็หวังว่าเรื่องการพัฒนาประชาสังคมจะคล้ายๆกันนะครับ  เริ่มช้า ๆ หน่อยแต่ว่าทำให้ดี จะไปได้เร็วทีหลัง

 

ก่อนจบการปาฐกถา  ผมขอแถมเรื่องที่ผมทำมาแล้ว โดยเริ่มต้นค่องข้างช้า แต่ไปได้ดีและไปได้เร็วมากในภายหลัง  นั่นคือเรื่อง โครงการแก้ปัญหาหนี้สินและพัฒนาชีวิตครู  เรื่องนี้ผมเริ่มต้นทำเมื่อครั้งเป็นผู้อำนวยการธนาคารออมสิน  ครูเป็นแสนคนมีปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว  ไปหากู้ที่ไหนก็ไม่มีใครให้     จะไปทำโครงการกับธนาคารก็ไม่มีธนาคารไหนยอมทำ   พอมาที่ธนาคารออมสิน ผู้บริหารธนาคารบอกว่า โอ้ย เรื่องครูเป็นหนี้จะมากู้เงินธนาคารไปล้างหนี้ไม่ไหวหรอก   เรื่องเช่นนี้น่าจะทำไม่ได้  แต่ผมคิดอีกอย่างหนึ่ง  ผมว่ามันต้องทำได้ ต้องมีวิธีที่ทำได้   ก็มานั่งครุ่นคิดหาวิธีการอยู่พักใหญ่ แล้วก็ปรึกษากับครูกับทางราชการ คือกระทรวงศึกษาธิการ   ในที่สุดเรานั่งคุยกัน 6 เดือน เพื่อจะพัฒนาวิธีการขึ้นมา ผมถึงบอกว่าสำคัญที่กระบวนการไง  ผมไม่ได้เริ่มต้นโดยพิจารณาเลยและตัดสินใจว่าทำได้หรือทำไม่ได้  ผมใช้กระบวนการปรึกษาหารือ นานถึง 6 เดือน  จากทัศนคติครูที่เอะอะจะเอาแต่เงินกู้อย่างเดียว ส่วนผู้บริหารและพนักงานธนาคารก็จะห่วงเรื่องหลักประกันเป็นต้น  จากทัศนคติแบบนี้ในที่สุดเข้ามาหากัน ครูก็เริ่มได้คิดว่ามันไม่ใช่เงินกู้อย่างเดียวนะ แต่จะต้องมีการ ปรับวิธีคิด ปรับวิถีชีวิต ปรับพฤติกรรม ต้องมีการจัดการองค์กรร่วมกัน และอื่น ๆ    ผู้บริหารและพนักงานธนาคารก็เริ่มตระหนักว่าเราไม่ได้ทำหน้าที่ให้เงินกู้โดยมีหลักประกันเท่านั้น แต่เราต้องไปสนับสนุนดูแลเรื่องการพัฒนาบุคคล การพัฒนาจิตใจ การจัดองค์กรต่างๆ และเงื่อนไขอีกหลาย ๆ อย่างภายใต้โครงการนี้  ในที่สุดเกิดเป็นระบบที่เราเรียกว่า “เครือข่ายพัฒนาชีวิตครูเป็นระบบที่ซับซ้อนหน่อย แต่ว่าละเอียดและเป็นแผนทั่วประเทศ   พอเริ่มปล่อยเงินกู้ไป ปีแรกได้ 2-3 พันล้าน เจ้าหน้าที่บอกว่าปีนี้ได้ 3 พันล้าน ปีหน้าตั้งเป้า 6 พันล้าน ผมบอกว่ามันต่ำไปนะ   ปีหน้าควรจะเป็น 8 พันล้าน เจ้าหน้าที่ยังยืนยันว่าไม่ไหวแน่   แต่พอเอาเข้าจริงตัวเลขสินเชื่อครูในปีถัดมาออกมาเป็นกว่าหมื่นล้าน  เวลาผ่านไป 10 ปี เดี๋ยวนี้เงินกู้ที่ปล่อยไปถ้านับสะสมก็ประมาณหนึ่งแสนล้าน โดยมียอดคงเหลือประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และทั้งหมดนี้ใช้เงินธนาคารออมสินทั้งสิ้นไม่ต้องใช้เงินของรัฐบาลเลยแม้แต่บาทเดียว   ดังนั้นโครงการนี้ครูได้ประโยชน์ ราชการได้ประโยชน์   ธนาคารออมสินเองก็ได้ประโยชน์ เป็น win- win-win นี่เป็นวิธีเชิงยุทธศาสตร์ ที่จะเห็นว่าทีแรกช้าแต่ผมคำนวณไว้แล้วว่ามันจะช้าในช่วงต้น แต่ในภายหลังจะเร็วขึ้น ที่เรียกว่าเติบโตแบบ  Exponential  โครงการพัฒนาชีวิตครูในตอนหลังเร็วมากจนคณะกรรมการแบงค์ตกใจ  มาดูว่าทำไมเงินกู้นี้ขึ้นเร็วมาก มีปัญหาความเสี่ยงหรือไม่ มาดูจริง ๆ ก็ไม่มีความเสี่ยงเท่าไร  อัตราหนี้สูญน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย  แบงค์ชาติมาตรวจบอกว่าโอ้โห ธนาคารออมสินมีสินทรัพย์อยู่เรื่องหนึ่งที่ดีมากก็คือเงินกู้ครู เพราะเป็นสินเชื่อคุณภาพดี ทำรายได้ให้ธนาคารออมสินอยู่ในเกณฑ์ดี  ครูได้ประโยชน์มาก  ราชการก็ได้ประโยชน์โดยแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย  เพียงแต่ต้องให้ความร่วมมือในการหักหนี้  คือหักเงินเดือนเวลาชำระหนี้ ที่ผมเล่ามานี้เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า  ต้องใช้กระบวนการหรือ Process ให้ดี    สร้างทัศนคติที่ดีให้สำเร็จ  แล้วสาระที่ดีจะทยอยตามมา  เช่น ทัศนคติเรื่องครูต้องทำงานแบบไตรภาคี  หลายฝ่ายต้องมาร่วมกันตัดสินใจ อย่าตัดสินใจฝ่ายเดียว ต้องร่วมคิดร่วมทำอยู่เสมอ และต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการกู้เงิน ถ้ากู้เงินโดยไม่พัฒนาก็จะกลับไปเป็นหนี้เสียอย่างเดิม  ถ้ากู้เงินบวกกับการพัฒนา ครูจะแก้ไขปัญหาได้  หลายคนเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ บางคนเดินผ่านธนาคารออมสินนี่ยกมือไหว้ขอบคุณที่ช่วยชีวิตไว้ มีบางคนเกือบฆ่าตัวตายอยู่แล้วแต่มากลับตัวได้  ขณะนี้โครงการในลักษณะคล้ายกันได้ขยายไปให้ข้าราชการสามัญ ให้ข้าราชการทหาร  ให้ข้าราชการตำรวจ เฉพาะครูก็เกือบแสนคนที่เข้าโครงการ  ถ้ารวมข้าราชการอื่นด้วยก็เกินแสนไปหลายหมื่น  รวมจำนวนเงินที่ได้ปล่อยไปเกินกว่าแสนล้าน นี้เป็นตัวอย่างของการทำเรื่องที่ดูเหมือนยากแต่ว่าด้วยกระบวนการที่ดี   ด้วยวิธีการที่ดี สามารถทำสำเร็จได้

ในโอกาสนี้ ผมจึงอยากเสนอให้ ท่านรองนายกสุเทพและกระทรวง พม. สนับสนุนส่งเสริม เรื่องประชาสังคมซึ่งอาจดูว่ายาก  เพราะมันใหญ่มากสลับซับซ้อนมาก ประชาสังคมไม่ใช่เป็นหนึ่งเดียวแต่หลากหลายมาก ทะเลาะกันก็มี ทะเลาะในกลุ่มเล็กของตัวก็มี   ทะเลาะระหว่างกลุ่มก็มีแต่อาจไม่รุนแรงมาก  แต่ประชาสังคมในภาพรวมหรืออย่างน้อยก็เป็นส่วนใหญ่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เพียงแต่อาจจะดีในระดับต่าง ๆกัน   และเรื่องประชาสังคมจะโยงใยอย่างดีมากกับเรื่องปฏิรูปทั้งหลายที่กำลังจะทำกันอยู่ รวมทั้งโยงใยได้กับเรื่องความปรองดองที่รัฐบาลและสังคมไทยโดยรวมอยากให้เกิดขึ้น  ขอให้กำลังใจท่านรองนายก ท่านรัฐมนตรี และทุก ๆ ท่านในที่นี้  ผมขอเอาใจช่วยและส่งใจส่งความคิดไปช่วยนะครับ  ในส่วนที่ผมยังพอมีแรงที่จะมาช่วยพูดช่วยทำเช่นในวันนี้ก็ยินดีครับ แต่อาจทำได้ไม่บ่อยนักด้วยเหตุผลด้านสุขภาพของร่างกาย ที่ไม่ถึงกับดีนัก แม้สุขภาพใจจะยังดีอยู่

บัดนี้ก็ได้เวลาที่พอสมควร อาจจะพูดนานไปนิดหนึ่ง แต่หวังว่าท่านผู้ฟังคงได้ประโยชน์บ้าง ตามสมควร  และขอบพระคุณท่านรองนายกสุเทพ  ท่านรัฐมนตรีอิสระ ที่ให้ความกรุณานั่งฟังอยู่ ก็ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความเห็น ท่านเองคงมีความคิดอะไรอยู่แล้ว แต่อาจฟังผู้อื่นด้วยเพื่อช่วยให้ความคิดของท่านดียิ่งขึ้นไปอีก  ขณะเดียวกันท่านก็ย่อมก็ได้ประโยชน์จากความคิดของคณะกรรมการที่มาจากหลากหลาย และมาช่วยกันทำงานเพื่อส่วนรวม งานด้านประชาสังคมเป็นงานเย็นไม่ใช่งานร้อน   แต่ถ้าทำได้ดีจะสามารถช่วยทำให้งานร้อนที่กำลังเกิดขึ้น ค่อย ๆ เย็นลงได้  พร้อมกับช่วยให้สังคมเดินไปข้างหน้าได้ดีขึ้น เกิดเป็นประโยชน์สุขให้แก่ทุกคนทุกฝ่าย ผมขอเอาใจช่วยอีกครั้งหนึ่งและขอขอบคุณครับ

 

                                                                                                              ถอดเทป/เรียบเรียง

                                                                                                         โดยนางวารุณี  ชินวินิจกุล

                                                                                                     นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ

                                                                กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/385065

<<< กลับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *