ผมฝันไปว่า……ชื่อทักษิณ ชินวัตร

ผมฝันไปว่า……ชื่อทักษิณ ชินวัตร


(27 ก.พ. 49) เมื่อวานนี้ หลังจากที่ผมได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (ขณะอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี) กับ นสพ.มติชนรายวัน ในเรื่องทางออกจากภาวะวิกฤตทางการเมืองซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับท่านนายกฯทักษิณ ชินวัตร แล้ว (ซึ่งนสพ.มติชนรายวันได้ลงเป็นข่าวพร้อมบทสัมภาษณ์แล้ววันนี้) พอดีผมมีเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ที่ต้องนั่งรอที่ห้องทำงานก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ จึงใช้เวลานั้นเขียนบทความชื่อว่า “ผมฝันไปว่า……ชื่อทักษิณ ชินวัตร” และมีสาระของบทความดังนี้ อ่านเพิ่มเติม “ผมฝันไปว่า……ชื่อทักษิณ ชินวัตร”

ภาคีความร่วมมือไทย – คานาดา : สู่สังคมสมานฉันท์

ภาคีความร่วมมือไทย – คานาดา : สู่สังคมสมานฉันท์


(5 มี.ค. 49) ไปร่วมสัมมนาจัดโดย มูลนิธิวิเทศพัฒนา (Development Cooperation Foundation หรือ DCF ซึ่งมีคุณวิลาศ โอสถานนท์ เป็นประธาน ดร.ชิงชัย หาญเจนลักษณ์ เป็นเลขาธิการ และ คุณนฤมล ลิม เป็นผู้อำนวยการ) ที่โรงแรม “Cabbages and Condoms Resort” ที่พัทยา ซึ่งเป็นของคุณมีชัย วีระไวทยะ
หัวข้อการสัมมนา คือ “Thai – Canada Partnerships : Toward Harmonised Societies” มีผู้เข้าร่วมสัมมนาปราณ 50 คน สัมมนากัน 1 วันครึ่ง (วันที่ 4 มีนาคมเต็มวัน และวันที่ 5 มีนาคมครึ่งวัน)
ผมตีความหัวข้อสัมมนาเป็นภาษาไทยว่า “ภาคีร่วมมือไทย – คานาดา : สู่สังคมสมานฉันท์” และให้ความเห็นไว้บางประการดังนี้
1. ในอดีตที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือเป็นเงินสนับสนุนโครงการพัฒนาต่างๆจากต่างประเทศหลายแห่งรวมถึงประเทศคานาดา ซึ่งประเทศไทยและคนไทยควรต้องขอบคุณในความปรารถนาดีและการสนับสนุนจากต่างประเทศดังกล่าว อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันและในอนาคตข้างหน้า ประเทศไทยควรพยายามพึ่งตนเองให้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มทำมากขึ้นแล้ว เช่น การมี “สถาบันพระปกเกล้า” พร้อมงบประมาณจากรัฐเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบการเมืองการปกครอง การมี “สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.)” พร้อมงบประมาณจากรัฐเพื่อสนับสนุนการสร้างชุมชนเข้มแข็งและการพัฒนาประชาสังคม การมี “สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)” พร้อม “กองทุน” ที่ได้จากส่วนเพิ่มของภาษีสุราและบุหรี่ ประมาณปีละ 2,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนสสส.นี้ สามารถสนับสนุนกิจกรรมพัฒนาได้หลากหลายมาก รวมถึงการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ และน่าจะรวมถึงการพัฒนาระบบธรรมาภิบาล (Good Governance) และสิทธิมนุษยชน (Human Rights) ด้วย (ทั้งสองประเด็นนี้ คือ เรื่องที่ประเทศคานาดาได้ให้เงินช่วยเหลือต่อประเทศไทยผ่านมูลนิธิวิเทศพัฒนา และเป็นฐานที่มาของการจัดสัมมนาครั้งนี้) ดังนั้น ในอนาคต จึงน่าจะเป็นไปได้ที่จะพยายามให้ได้รับการสนับสนุนจากแหล่งทุน เช่น สสส. สำหรับโครงการพัฒนาด้านธรรมาภิบาลและสิทธิมนุษยชน อันจะเป็นปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งในการสร้าง “สังคมสมานฉันท์” (Harmomised Societies)  หรือ “สุขภาพทางสังคม” (Social Health)
2. ประเทศไทยควรยินดีร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศผู้ปรารถนาดีหรือเป็นพันธมิตร เช่น ประเทศคานาดา ในการจัดการความรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาธรรมาภิบาลและสิทธิมนุษยชน ตลอดการพัฒนาระบบการเมืองการปกครองที่ดี ทั้งนี้โดยใช้เงินสนับสนุนจากภายในประเทศไทยเอง และอาจมีบางส่วนที่เป็นการสนับสนุนจากประเทศพันธมิตรเช่นคานาดาด้วย (คาดว่าประเทศคานาดาจะยังคงสนับสนุนกิจกรรมพัฒนาในระดับกลุ่มประเทศ หรือ ภูมิภาค (Regional) ต่อไป แม้ว่าจะลดการสนับสนุนสำหรับประเทศที่มีการพัฒนาก้าวหน้าขึ้นแล้ว เช่น ประเทศไทย)
3. น่าจะมีความพยายามในประเทศไทย ที่จะให้เกิดกลไกทำนอง “เครือข่ายองค์กรเพื่อการพัฒนาประชาธิปไตย” (Network of Organizations for the Development of Democracy – NODD) ซึ่งอาจจะประกอบด้วย องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญบางแห่ง สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา สถาบันพระปกเกล้า หน่วยราชการบางแห่ง องค์การมหาชนบางแห่ง สถาบันการศึกษาบางแห่ง องค์กรประชาสังคม (Civil Society Organizations) บางแห่ง องค์กรภาคประชาชน (People’s Organizations) บางแห่ง เป็นต้น

ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
8 มี.ค. 49

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/18022

<<< กลับ

 

“กระบวนการสันติ” และการเยี่ยม “พี่น้อง” ที่สนามหลวง

“กระบวนการสันติ” และการเยี่ยม “พี่น้อง” ที่สนามหลวง


(4 – 5 มี.ค. 49) ไปร่วมงานประชุมหารือกับ คุณจอน อึ๊งภากรณ์ (สมาชิกวุฒิสภาและผู้รับรางวัลแม็กไซไซคนล่าสุดของประเทศไทย) และคนอื่นๆอีกประมาณ 15 คน เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 49 เกี่ยวกับภาวะวิกฤตทางการเมืองและทางสังคม มีข้อสรุปเป็น “จดหมายเปิดผนึก” ของกลุ่มที่ไปร่วมประชุมหารือซึ่งลงใน นสพ.มติชน วันที่ 5 มี.ค. 49 หน้า 2 ดังนี้
จดหมายเปิดผนึกจากส.ว.-นักวิชาการ ถึงประชาชนชาวไทย-วอนใช้”สันติ”
เช้าวันนี้ (4 มีนาคม) บุคคลผู้มีรายนามข้างท้ายนี้ ได้ร่วมกันปรึกษาหารือถึงสถานการณ์ปัจจุบันด้วยความห่วงใยว่าอาจจะเกิดความรุนแรง จึงมีความเห็นร่วมกันว่า
1.การชุมนุมโดยสงบ เปิดเผย และไม่ใช้กำลัง เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย มีความชอบธรรม เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ
2.การต่อสู้และความขัดแย้งทางการเมืองอย่างสันติที่เกิดขึ้น เป็นวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาทางการเมืองอย่างมีส่วนร่วมของประชาชนที่สำคัญ และเป็นเวทีการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลของพลเมือง
3. ขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งทหาร ตำรวจ และส่วนอื่นๆ พึงตระหนักในบทบาทของการส่งเสริมให้เกิดความสงบ สันติ และเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานในการแสดงออกทางการเมือง โดยวางตัวเป็นกลางและไม่ใช้ความรุนแรงอย่างเคร่งครัด
4.ขอให้ผู้ชุมนุมทุกกลุ่มยึดมั่นในสันติวิธี และหลีกเลี่ยงการสร้างเงื่อนไขที่จะก่อให้เกิดความรุนแรงทุกรูปแบบ
5.ขอเรียกร้องต่อประชาชนไทยให้ร่วมกันตรวจสอบสื่อสารมวลชนทุกแขนง และร่วมกันสร้างสรรค์มาตรการเพื่อลงโทษสื่อที่บิดเบือน เลือกปฏิบัติ อาทิ การเชิญชวนให้งดเว้นการดู ฟัง และอ่าน หรืองดเว้นการซื้อสินค้าที่ลงโฆษณาในสื่อนั้น เป็นต้น
4 มีนาคม 2549
เกษม ศิริสัมพันธ์               จอน อึ๊งภากรณ์                  นิธิ เอียวศรีวงศ์
นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ         ทิชา ณ นคร                       ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
พระไพศาล วิสาโล            มาลี พฤกษ์พงศาวลี          รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์
วิรัตน์ วัฒนศิริธรรม          ศรีสว่าง พั่ววงศ์แพทย์       สงวน นิตยารัมภ์พงศ์
อมรา พงศาพิชญ์               ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์
ไปเยี่ยม “พี่น้อง” ที่สนามหลวง
            ตอนเย็นของวันที่ 5 มี.ค. 49 ได้ไปเยี่ยม “พี่น้อง” ซึ่งชุมนุมกันอยู่ที่ ท้องสนามหลวง โดยอัดสำเนาข้อความดังต่อไปนี้ ไปเผยแพร่ด้วย
            “ผมสนับสนุน
            กระบวนการชุมนุมของกลุ่มประชาชน เพื่อแสดงความเห็นและเรียกร้อง
            อย่างสงบ สันติ อดทน อดกลั้น โดยใช้สติ ปัญญา ความดี ความรู้ เป็นพลังสำคัญ
            เพราะนี่คือกระบวนการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมและร่วมไตร่ตรอง ที่มีความชอบธรรมและเหมาะสม
ตามหลักการและเจตนารมณ์ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (มาตรา 76 และอื่นๆ)
รวมทั้งสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยที่ถือปฏิบัติกันในประเทศที่ได้รับการพัฒนาทางการเมืองมากกว่าประเทศไทยอีกด้วย
ด้วยความปรารถนาดีต่อส่วนรวม
ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม  5 มีนาคม 2549”

ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
10 มี.ค. 49

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ  https://www.gotoknow.org/posts/18423

<<< กลับ

“สันติวิธี” กับทางออกจากวิกฤตทางสังคมไทย

“สันติวิธี” กับทางออกจากวิกฤตทางสังคมไทย


(10 มี.ค. 49) ได้เขียนบทความหัวข้อ “‘สันติวิธี’ กับทางออกจากวิกฤตสังคมไทย” ส่งให้หนังสือพิมพ์หลายฉบับพร้อมกันในวันที่ 9 มี.ค.ซึ่งบางฉบับได้นำไปออกในรูปแบบ “On – line” ในวันที่ 9 มี.ค.นั้นเลย ได้แก่ นสพ.“คม ชัด ลึก” “ผู้จัดการ” และ “ข่าวสด”
มาวันนี้ (10 มี.ค.) ได้มีหนังสือพิมพ์เท่าที่เห็น 2 ฉบับ ลงบทความแบบไม่ตัดทอน คือ นสพ.ไทยโพสต์ (หน้า 1 และ 4) และนสพ.กรุงเทพธุรกิจ (หน้า 15)
จากบทความที่ลงทั้งแบบ “On – line” และแบบสิ่งพิมพ์ ทำให้สถานีวิทยุ 2 แห่ง และโทรทัศน์ 1 แห่ง ขอสัมภาษณ์และให้ไปออกรายการในประเด็นการใช้ “สันติวิธี” เพื่อแก้ไขภาวะวิกฤตของประเทศไทย
ข้อความในบทความปรากฎดังนี้

“สันติวิธี” กับทางออกจากวิกฤตสังคมไทย
โดย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
“สันติวิธี” กับวิกฤตสังคมไทย
หลายฝ่ายได้ออกมาเรียกร้องหรือเสนอแนะให้ใช้ “สันติวิธี” ในการคลี่คลายภาวะ “วิกฤต” ของสังคมไทยในขณะนี้
รวมทั้งผมเอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบุคคลที่ขอเรียกตัวเองว่า “นักสันติวิธี”
มี รศ.ดร.โคทม อารียา (ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล) รศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ (ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสารสันติภาพ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ (ผู้อำนวยการศูนย์สันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า ในสังกัดรัฐสภา) เป็นต้น
ส่วนผมเองเป็นประธานศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) ในสังกัดสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ซึ่งสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี
“ศูนย์คุณธรรม” มีพันธกิจในการส่งเสริม “ขบวนการคุณธรรม” ซึ่งย่อมรวมถึง “ขบวนการสันติวิธี” ไปด้วยโดยปริยาย เพราะ “สันติวิธี” ก็คือ “คุณธรรม” อย่างหนึ่งนั่นเอง
ประเทศไทยของเรากำลังประสบภาวะวิกฤต ทั้งทางการเมืองและทางสังคม ซึ่งถ้าคลี่คลายไม่ได้จะนำไปสู่ภาวะวิกฤตทางจิตใจ เศรษฐกิจ และอื่น ๆ
รวมถึงอาจเกิดการปะทะรุนแรง ถึงขั้น บาดเจ็บ ล้มตาย ทรัพย์สินเสียหาย ฯลฯ
กลายเป็น “โศกนาฏกรรม” ที่สร้างรอยร้าวและบาดแผลในดวงจิตของคนไทยและสังคมไทยอย่างน่าเศร้าเสียใจอีกครั้งหนึ่ง

“”“”“”

“สันติวิธี” เป็นสะพานสู่ทางออกจากวิกฤต
“สันติวิธี” จึงน่าจะเป็น “สะพานสู่ทางออก” จาก “วิกฤตสังคมไทย” ในปัจจุบัน
“สันติวิธี” มีได้ 2 แบบ คือ “แบบชั้นเดียว” และ “แบบสองชั้น”
“สันติวิธีแบบชั้นเดียว” คือ การเคลื่อนไหวโดยไม่ใช้ “ความรุนแรง” แต่มุ่งให้ได้ “ชัยชนะ” ของฝ่ายตน แบบนี้อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อหิงสา” (Non-violence)
ส่วน “สันติวิธีแบบสองชั้น” ได้แก่การใช้วิธีการอันเป็นสันติ รวมถึงการพูดจาต่อรอง (Negotiation) เพื่อให้ได้ “ข้อตกลงร่วมกัน” ซึ่งเป็นที่พอใจหรือยอมรับได้ร่วมกันทุกฝ่าย แบบนี้อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การสร้างสันติ” (Peace Building)
ถ้าประยุกต์หลักการและความหมายข้างต้นเข้ากับสถานการณ์ของสังคมไทยในขณะนี้  จะเห็นว่ามี “คู่ขัดแย้ง” อยู่ 3 ฝ่าย ได้แก่ (1) ฝ่ายรัฐบาลรักษาการ (2) ฝ่ายอดีตพรรคฝ่ายค้าน (3) ฝ่ายชุมนุมเรียกร้อง (ให้นายกฯทักษิณ ลาออกและเว้นวรรคทางการเมือง)
ทั้ง 3 ฝ่ายกำลังใช้ “สันติวิธีแบบชั้นเดียว” คือ ไม่ใช้ความรุนแรงทางร่างกายหรือทางอาวุธ แต่มีการใช้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีตลอดจนกลอุบายต่างๆที่กล่าวหาหรือกดดัน หรือสร้างความเสียหายให้แก่ฝ่ายตรงข้าม ทั้งนี้เพื่อให้ฝ่ายตนได้รับ “ชัยชนะ”
ควรใช้ “สันติวิธีแบบสองชั้น”
ยังไม่มีฝ่ายใดพยายามใช้ “สันติวิธีแบบสองชั้น” คือ หาทางพูดจาต่อรองเพื่อให้ได้ “ข้อตกลงร่วมกัน” โดยอาจจะมีหรือไม่มี “คนกลาง” ช่วยด้วยก็ได้
“คนกลาง” ในกระบวนการสันติวิธีนี้ ยังมีได้ 2 แบบหลักๆ คือ (1) แบบช่วย “เอื้ออำนวย” (Facilitating) คือช่วยประสานเชื่อมต่อ (เช่น พูดกับฝ่ายนั้นทีฝ่ายนี้ที เพื่อนำเข้าสู่การพูดจาต่อรองอย่างพร้อมหน้าเมื่อทุกฝ่ายมีความพร้อม)  ช่วยจัดกระบวนการ ช่วยดำเนินการประชุม ฯลฯ
คนกลางแบบที่ (2) คือ ช่วยเป็น “ร่มบารมี” ให้คู่กรณีได้มาพูดจากันในบรรยากาศที่เอื้อให้เกิดการปรองดองกันได้ง่ายขึ้น คนกลางแบบนี้มักเป็น “ผู้ใหญ่” หรือ “ผู้อาวุโส” หรือ “ผู้มีตำแหน่งฐานะ” ซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือของทุกฝ่ายที่เป็นคู่กรณีหรือคู่ขัดแย้ง
กรณีความขัดแย้งทั่วไป  อาจใช้คนกลางแบบใดแบบหนึ่งก็เพียงพอ  แต่ในบางกรณีที่มีความยากและซับซ้อนหรือละเอียดอ่อนมากๆ อาจอาศัยคนกลางทั้ง 2 แบบ ร่วมกันก็ได้
สมมุติว่า ทั้ง 3 ฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้งกันอยู่ในขณะนี้  ยอมหันหน้ามาพูดจากัน และสมมุติด้วยว่า  สามารถตกลงหาบุคคล ซึ่งเห็นชอบหรือยอมรับร่วมกันมาช่วยทำหน้าที่ “คนกลาง” ให้
คำถามต่อไปคือ “จะมีทางตกลงกันได้หรือ?” ในเมื่อคู่ขัดแย้งมี “จุดยืน” ที่สวนทางกันอย่างชัดเจน
เป็นหน้าที่ของ “คนกลาง” ที่จะพยายามชวนให้ทุกฝ่ายละวาง “จุดยืน” ของตนแล้วมุ่งหา “จุดประสงค์” ร่วมกัน
เช่น จุดประสงค์ร่วมกัน อาจได้แก่ “การอยู่ร่วมกันอย่างสันติและมีความเจริญสุขร่วมกัน” หรืออาจตั้งจุดประสงค์ร่วมกันว่าเพื่อสนองต่อพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม  เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
ทั้งนี้ “สันติวิธี” จะไม่พยายามค้นหา ว่าใครถูกใครผิด หรือใครดีใครไม่ดี แต่จะพยายามหาทางออกจากความขัดแย้งสู่ข้อตกลงร่วมกันเป็นหลัก
เมื่อได้จุดประสงค์ร่วมกันแล้ว ขั้นต่อไปคือพยายามหา “วิธีการ” สู่การบรรลุจุดประสงค์ร่วมกัน
การพูดจาต่อรองในเรื่องที่ยากและซับซ้อนเช่นวิกฤตการเมืองและสังคมไทยครั้งนี้  คงต้องใช้เวลาให้มากพอ  แต่ถ้าตกลงจุดประสงค์ร่วมกันได้แล้ว  การค้นหาวิธีการมักจะเป็นไปได้ในที่สุด

“ชุดวิธีการ” ที่จะช่วยให้ออกจากวิกฤต
ซึ่ง “วิธีการ” ที่ว่านั้น คงจะเป็น “ชุดวิธีการ” คือมีหลาย ๆ อย่างที่ตกลงกันว่าจะทำพร้อมกันไป
ผมจะลองใช้จินตนาการว่า อาจบรรลุข้อตกลงเป็น “ชุดวิธีการ” เช่น ทำนองนี้
1. ให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549
2. ให้ กกต. และกลไกต่าง ๆ พยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุดในการดูแลให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
3. ให้มีการหาเสียงหรือรณรงค์อย่างเปิดเผยเป็น 2 ฝ่ายหลัก  คือ ฝ่ายขอให้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย  (หรือพรรคอื่นที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง) และฝ่ายขอให้งดเว้นการออกเสียง (เป็นการแสดงความไม่เห็นด้วยกับการยุบสภาหรือไม่เห็นชอบต่อ พตท. ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี)
4. พตท.ทักษิณ ชินวัตร ตกลงและประกาศ จะไม่กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร ภายหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่อาจจะทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยอาจยังคงเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย หรือเป็นประธานที่ปรึกษาพรรค
5. รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 จะเป็นรัฐบาลและสภาฯชั่วคราว มีหน้าที่หลักคือ  (1) การดูแลให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตามปกติ (2) การดูแลและดำเนินการเกี่ยวกับการเฉลิมฉลอง 60 ปี ครองราชย์ (3) การดำเนินการให้มีการแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญ เฉพาะในส่วนที่จะทำให้สามารถจัดการเลือกตั้งใหม่ได้ภายในประมาณสิ้นปี 2549 โดยเป็นที่เห็นชอบร่วมกันของทุกฝ่าย
6. การแก้ไขปรับปรุงส่วนอื่นๆของรัฐธรรมนูญ ให้ทำภายหลังมีการเลือกตั้งครั้งใหม่(ประมาณปลายปี 2549)  แล้ว โดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของส่วนต่างๆของสังคมอย่างกว้างขวาง  ซึ่งมากกว่า 3 ฝ่าย ที่เป็นคู่ขัดแย้งกันอยู่
7. ให้ทั้ง 3 ฝ่าย ละเว้น จากการบริภาษ ยั่วยุ เสียดสี หรือการให้ร้ายอย่างไม่เป็นธรรมต่อฝ่ายอื่นๆ
8. ให้ฝ่ายชุมนุมเรียกร้องยุติการชุมนุม  ฝ่ายรัฐบาลรักษาการสนับสนุนให้สื่อทุกประเภทมีอิสระในการดำเนินงาน และฝ่ายอดีตพรรคฝ่ายค้านประกาศจะเข้าเสนอตัวในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นภายหลังการแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญแล้ว
ที่ผมลองจินตนาการดูข้างต้นนั้น เป็นตัวอย่าง หรือ“ตุ๊กตา” ให้เห็นว่า น่าจะมีทางบรรลุข้อตกลงได้ ถ้าได้พูดจาต่อรองกันโดยมีคนกลางช่วยเอื้ออำนวย และมีจุดประสงค์ที่ได้พิจารณาเห็นชอบร่วมกันเป็นตัวตั้ง

“”            1.             2.             3.             4.            5.             6            7.             8.

สู่การปฏิรูประบบคุณธรรม สังคม และการเมือง
ส่วนคำว่า “ส่วนต่างๆของสังคม” ที่ควรเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญนั้น ควรจะรวมถึง (1) ภาคชุมชนฐานราก (ประชาชน ชาวบ้าน ทั้งในชนบทและในเมือง) (2) ภาคธุรกิจ (3) ภาควิชาการ
ทั้งนี้ โดยถือว่า (4) “ภาคประชาสังคม” (Civil Society) (5) ภาคการเมือง ฝ่ายรัฐบาล (6) ภาคการเมืองฝ่ายค้าน นั้น รวมอยู่ในคู่ขัดแย้ง 3 ฝ่าย ซึ่งต้องร่วมในกระบวนการแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว
รวมแล้วจึงเป็น 6 ฝ่ายหรือ 6 ภาคส่วนของสังคม ที่ควรมีบทบาทร่วมกันในการแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญ
นอกจากแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญ แล้ว ผมยังเห็นว่าทั้ง 6 ฝ่าย น่าจะร่วมกันศึกษาพิจารณา ประเด็นที่ใหญ่กว่า และสำคัญยิ่งขึ้นไปอีกด้วย

นั่นคือ ประเด็นว่าด้วย “การปฏิรูประบบคุณธรรม สังคม และการเมืองไทย”

ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
10 มี.ค. 49

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ  https://www.gotoknow.org/posts/18465

<<< กลับ

วิกฤตความขัดแย้งและการระงับความขัดแย้งในสังคมไทย

วิกฤตความขัดแย้งและการระงับความขัดแย้งในสังคมไทย


(14 มี.ค. 49) ไปบรรยายหัวข้อ “วิกฤตความขัดแย้งและการระงับความขัดแย้งในสังคมไทย” ให้กับนิสิตระดับปริญญาตรี หลักสูตรนิติศาสตร์บัณฑิตชั้นปีที่ 1 ของคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ผศ.ธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย เป็นคณบดี) จำนวน 235 คน ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา “กฎหมายกับสังคม”
การบรรยายนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการศึกษาดูงาน “กฎหมายกับความเป็นจริงในสังคม” ระหว่างวันที่ 14 – 17 มี.ค. 49 ซึ่งเป็นโครงการที่จัดเป็นประจำทุกปี และในปีนี้จะเดินทางไปศึกษาดูงานที่จังหวัดเพชรบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นิสิตซึ่งศึกษากฎหมายได้เรียนรู้สภาพความเป็นจริงของกฎหมายในแง่มุมต่างๆ อาทิ กฎหมายกับการพัฒนาประเทศ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการระงับข้อพิพาท ตลอดปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากความไม่เหมาะสมของกฎหมาย และปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ
ในการบรรยายได้อาศัย PowerPoint ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้ประกอบการบรรยาย

ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม

16 มี.ค. 49

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ  https://www.gotoknow.org/posts/19315

<<< กลับ

เครือข่ายเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง

เครือข่ายเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง


(15 มี.ค. 49) ไปร่วมประชุมที่จัดโดย “เครือข่ายเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง” (คุณจอน อึ๊งภากรณ์ เป็นผู้ประสานงาน) ร่วมกับ “คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วุฒิสภา” (นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ เป็นประธาน)
วัตถุประสงค์ของการประชุม คือ “เพื่อให้ทุกฝ่ายที่ให้ความเอาใจใส่ต่อเหตุการณ์บ้านเมือง ได้มาพบปะกันเพื่อร่วมกันเสนอทางออกของวิกฤตในปัจจุบัน รวมถึงการหาแนวทางในการสร้างเครือข่ายร่วมกันในการดำเนินการให้เกิดการปฏิรูปสังคมและการเมืองในระยะยาว เป็นการรวมพลังความคิด พลังปัญญา พลังประชาชน เพื่อเสริมสร้างความเป็นธรรมในสังคม เพื่อให้ประชาชนมีเสรีภาพและเกิดประชาธิปไตยอย่างแท้จริง”
ได้เสนอความเห็นว่า วิกฤตของประเทศไทยในขณะนี้ อาจแบ่งได้เป็น
1. วิกฤตระยะสั้น         ซี่งเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พตท.ทักษิณ ชินวัตร
2. วิกฤตระยะยาว        เป็นวิกฤตของประเทศโดยรวม ที่ได้สะสมความไม่เหมาะสมหรือไม่สมดุล ทางการเมือง ทางสังคม ทางคุณธรรมจริยธรรม ตลอดจนทางเศรษฐกิจ และ ทางวิถีชีวิตโดยทั่วไป
ดังนั้นจึงเห็นด้วยกับการมี “เครือข่ายเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง” เพื่อมีส่วนร่วมในความพยายามที่จะคลี่คลาย “วิกฤตระยะยาว” ดังกล่าวในข้อ 2 และนำพาประเทศไทยและสังคมไทยไปในทิศทางของการพัฒนาที่ดี สมดุล และยั่งยืน ต่อไป

ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
17 มี.ค. 49

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ  https://www.gotoknow.org/posts/19666

<<< กลับ

ทางออกของวิกฤตในสังคมไทยแก้ได้ด้วยการเจรจา

ทางออกของวิกฤตในสังคมไทยแก้ได้ด้วยการเจรจา


(26 มี.ค. 49) ไปร่วมอภิปรายใน “การสานเสวนา” เรื่อง “ทางออกของวิกฤตในสังคมไทยแก้ได้ด้วยการเจรจา” ร่วมจัดโดย ศูนย์สันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า, ศูนย์คุณธรรม, ศูนย์ข่าวสารสันติภาพ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, และศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล โดยจัดที่ห้องประชุมของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาคารพญาไทพลาซ่า
            วัตถุประสงค์ของการสานเสวนาครั้งนี้ ได้แก่
1. เพื่อเป็นเวทีเสวนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานและองค์กรต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน จัดการและแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
2. เพื่อสร้างเครือข่ายและแนวร่วมที่ยึดถือแนวทางในการเจรจาเพื่อแก้ไขความขัดแย้ง
3. เพื่อเสวงหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นด้วยแนวทางสันติวิธี
4. เพื่อเผยแพร่แนวคิดสันติวิธีไปสู่การปฏิบัติของทั้งภาครัฐและเอกชน
            ผู้เริ่มอภิปรายนำ ประกอบด้วยตัวแทนขององค์กรร่วมจัด ดังนี้

1. ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์                ผู้อำนวยการศูนย์สันติวิธีและธรรมาภิบาล                                                                                 สถาบันพระปกเกล้า
2. นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม             ประธานกรรมการศูนย์คุณธรรม

3. รศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์          ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสารสันติภาพ

                                                             มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

4. รศ.ดร.โคทม อารียา                   ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี

มหาวิทยาลัยมหิดล
การสานเสวนาเป็นไปด้วยดี ได้ข้อสรุปเป็นการวางแผนที่จะดำเนินการเท่าที่สามารถทำได้ในแนวทางของ “สันติวิธี” หรือ “สันติวิถี” โดยผู้เข้าร่วมการเสวนาจำนวนหนึ่งอาสาเป็นผู้ดำเนินการตามแผนดังกล่าว

ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
30 มี.ค. 49

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ  https://www.gotoknow.org/posts/21802

<<< กลับ

การสร้างคน สร้างชาติ และส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของประเทศเวียดนาม

การสร้างคน สร้างชาติ และส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของประเทศเวียดนาม


(10 – 13 พ.ค. 49) ร่วมไปกับคณะศึกษาดูงานการส่งเสริมคุณธรรมของประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จัดโดยศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) ผู้ร่วมคณะ 35 คน ประกอบด้วยพระมหาพงศ์นรินทร์ ฐิตวังโส ศ.สุมน อมรวิวัฒน์ ดร.รุ่ง แก้วแดง   ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช คุณมัณฑนา ศังขะกฤษณ์ คุณวินัย รอดจ่าย นพ.อำพล จินดาวัฒนะ และคนอื่นๆจากหลากหลายองค์กรที่เกี่ยวข้องโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการศึกษาและการพัฒนาคน
            จุดที่ไปศึกษาดูงาน ประกอบด้วย
            1. An Duong Primary School กรุงฮานอย ระดับประถมศึกษา
2. The Humanity Cultural Social Scientific University กรุงฮานอย เป็นมหาวิทยาลัยระดับประเทศ
3. Baichay Halong School เมืองฮาลอง ระดับประถมศึกษา
สลับกับศึกษาดูงานที่เป็นเนื้อหาสาระว่าด้วยการศึกษาและการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมโดยตรง ก็ได้ไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และสัมผัสกับสภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศและวิถีชีวิตของประชาชนชาวเวียดนามอีกพอสมควร ได้แก่ การชมเส้นทางจากสนามบินโนยบายเข้ากรุงฮานอย ย่านชุมชนเก่าแก่ในกรุงฮานอย บ้านพักและที่ทำงานของท่านประธานโฮจิมินห์เมื่อยังมีชีวิตอยู่ มหาวิทยาลัยวันเหมียวที่มีอายุเกือบ 1,000 ปี สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1070 วัดเสาเดียว พิพิธภัณฑ์ทหาร พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ การแสดงหุ่นกระบอกน้ำ การชมเส้นทางระหว่างกรุงฮานอยกับเมือง Halong Bay การชมธรรมชาติทางทะเลของ Halong Bay ซึ่งเป็นมรดกโลก 1 ใน 5 แห่งของเวียดนาม
มีรายการแถมตามคำขอแบบทันทีทันใดของคณะศึกษาดูงาน คือการเยี่ยมชมชุมชนหมู่บ้านชนบทที่อยู่ข้างเส้นทางระหว่าง Halong Bay กับฮานอย รายการนี้ไม่มีการวางแผนหรือเตรียมการล่วงหน้า จึงพบเห็นสภาพที่เป็นธรรมชาติปกติของชาวหมู่บ้านชนบทเวียดนาม ได้แก่ สภาพบ้านเรือนแบบเรียบง่ายพออยู่ได้ การทำมาหากินที่ทุกคนได้รับการจัดสรรทรัพยากรพื้นฐานโดยเฉพาะที่ดินอย่างเสมอภาค หมู่บ้านที่เราแวะเยี่ยมชมคงจะมีรายได้คงเหลือพอสมควรเพราะกำลังสร้างศาลเจ้าใหม่สวยงาม มูลค่าประมาณ 3 – 4 ล้านบาท มีวัดแบบเรียบง่ายซึ่งมีบริเวณสำหรับกิจกรรมร่วมกัน เช่น ลานสำหรับการออกกำลังกาย (ได้เห็นผู้สูงอายุรำพัดประกอบดนตรี) ลานสำหรับหัดขับรถมอร์เตอร์ไซค์ ที่ประทับใจคณะผู้ศึกษาดูงานมาก ได้แก่ ความเป็นกันเอง มีน้ำใจ กระตือรือล้นที่จะต้อนรับขับสู้และอำนวยความสะดวกต่างๆแบบทันทีทันใด สีหน้าที่แสดงถึงความสุขสงบ และชื่นบาน รวมทั้งได้พบสนทนากับเด็กนักเรียนหลายคนซึ่งมีความกล้าพูดภาษาอังกฤษแบบไม่กี่คำกับพวกเรา และแสดงออกอย่างมีชีวิตชีวาโดยไม่มีความขี้อายหรือหวั่นกลัว
           
            สาระสำคัญที่ได้จากการศึกษาดูงาน สรุปโดยย่อ คือ
            1. รัฐบาลเวียดนามให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษาของเยาวชนในอันดับสูงสุด จัดสรรงบประมาณให้มากเป็นพิเศษ มีนโยบายจัดการศึกษาที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมให้ถือปฏิบัติทั้งประเทศอย่างต่อเนื่องยาวนาน
2. ครูได้รับการสนับสนุนมากจากรัฐบาล รวมถึงการจัดการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยให้ผู้ต้องการมีอาชีพครูโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ให้เงินเดือนครูสูงเป็นอันดับสองรองจากทหารและทัดเทียมกับเงินเดือนแพทย์ ครูได้รับการนับถือและมีสถานะสูงทางสังคม ครูมีการเรียนรู้และพัฒนาทั้งตามหลักสูตรพิเศษในช่วงปิดเทอมและในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ประจำสัปดาห์ ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยให้ครูในเวียดนามเป็นบุคคลากรที่มีคุณภาพและพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา
3. ครูโดยเฉพาะในชั้นประถมมองตัวเองว่าเป็นทั้งครูและผู้ปกครองคนที่สองของนักเรียน โรงเรียนจึงเป็นเหมือนบ้านที่สองของนักเรียนไปด้วย มีความร่วมมือสูงระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครองและโรงเรียนกับชุมชน โดยมีคณะกรรมการของชุมชนเป็นกลไกดำเนินการนอกเหนือจากการติดต่อโดยตรงระหว่างครูกับผู้ปกครองรายคน
4. ระบบการศึกษาในเวียดนาพยายามให้บ้านเป็นเสมือนโรงเรียนไปด้วย เป็นการเรียนจากการปฏิบัติ เช่นในการช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานบ้าน และทำกิจกรรมในชุมชน เป็นต้น ในภาคกลางของเวียดนามมีการกำหนดให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาทำ “การบ้าน 5 ข้อ” ทุกวันดังนี้*
(1) วันนี้หนูทำความดีอะไรบ้าง
(2) วันนี้หนูช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงานบ้านอะไรบ้าง
                        (3) วันนี้ชุมชนของหนูมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นบ้าง
(4) ให้รายงานข่าวหนึ่งข่าวเกี่ยวกับประเทศเวียดนาม
(5) ให้รายงานข่าวหนึ่งข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์โลก

การบ้าน 5 ข้อนี้ ส่งผลให้เด็กรู้จักตนเอง รู้จักคุณธรรมความดี รู้จักจริยธรรม รู้จักชุมชนตนเอง รู้จักครอบครัวตัวเอง รู้จักประเทศตนเอง และรู้จักสังคมโลก

5. การศึกษาในเวียดนามมีเข็มมุ่งอยู่ที่ “อุดมการณ์ 5 ข้อ” ของประธานโฮจิมินห์ หรือ “ลุงโฮ” ของเด็กๆ โดยทุกห้องเรียนจะมีเป็นแผ่นป้ายแสดงข้อความของอุดมการณ์ 5 ข้อ ไว้อย่างเด่นชัดซึ่งได้แก่
(1) รักชาติ รักประชาชน
(2) เรียนดี ทำงานดี
                        (3) สามัคคี มีวินัย
                        (4) รักษาอนามัยดี
                        (5) ถ่อมตน ซื่อสัตย์ กล้าหาญ
นอกจากนั้นยังมีแผ่นป้ายอีกแผ่นหนึ่งที่มีความเด่นชัดเท่าเทียมกัน แสดงข้อความซึ่งเป็นคำกล่าวของประธานโฮจิมินห์ ว่า
“ประเทศชาติจะสวยงาม ชนชาติเวียดนามจะก้าวหน้า เคียงบ่าเคียงไหล่กับ 5 ทวีป หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเรียนของลูกหลาน”
            6. การศึกษาของเวียดนามเน้นการมีคุณธรรมและประพฤติดีเป็นอันดับต้น แต่ก็มุ่งให้มีวิชาการและความสามารถด้วย มีการให้รางวัลและสิ่งจูงใจแก่นักเรียนที่ประพฤติดีเรียนดีอย่างเป็นระบบ เช่นการให้ผ้าผูกคอสีแดง การให้รางวัลระดับโรงเรียน ระดับจังหวัด ระดับประเทศ เป็นต้น เป็นการแข่งขันกันทำความดีตลอดเวลา อย่างจริงจังและอย่างต่อเนื่อง
7. มีการให้รางวัลผู้ทำหน้าที่ครูได้ดีเช่นเดียวกัน เช่นเป็นครูดีเด่นระดับโรงเรียน ระดับจังหวัด ระดับประเทศ เป็นต้น โรงเรียน 2 แห่งที่เราไปเยี่ยมจัดอยู่ในกลุ่มโรงเรียนดีเด่น มีครูดีเด่นและนักเรียนดีเด่นจำนวนมาก บทบาทของครูใหญ่ก็มีความสำคัญสูง เป็นผู้ดูแลให้ครูมีการจัดการเรียนการสอนได้ดี มีการเรียนรู้ร่วมกันจากการปฏิบัติงาน เช่นการประชุมประจำสัปดาห์เพื่อทบทวนการปฏิบัติงานที่ผ่านมา หาทางแก้ไขและป้องกันปัญหารวมทั้งพยายามพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปอีกอยู่เสมอๆ
8. ทั้งครูและนักเรียนเขียนหนังสือแบบคัดบรรจงเป็นหลัก ทั้งในเอกสารเตรียมการสอนของครู การเขียนบทเรียนบนกระดานหน้าชั้น การเขียนหนังสือของเด็กในสมุดของทุกวิชา ทั้งนี้โดยใช้ปากกาหมึกซึมซึ่งช่วยในการเขียนตัวอักษรให้สวยงามเป็นระเบียบ ระบบนี้น่าจะช่วยสร้างสมนิสัยประณีต เป็นระเบียบ มีวินัย มีสมาธิ มีสุนทรียภาพ ที่มีคุณค่าต่อบุคคลและต่อสังคมรวมถึงคุณค่าในการปฏิบัติหน้าที่การงานให้ดี
9. นักเรียนที่ได้ผ้าผูกคอสีแดงจะได้รับการดูแลเพิ่มเติมจากครูพิเศษเพื่อการนี้ นักเรียนมีการประเมินให้คะแนนกันเองในด้านต่างๆ และให้ครูนำไปประเมินต่อ ในระดับเยาวชนมีการจัดกิจกรรมเยาวชน เช่น เป็นกลุ่มอาสาสมัครไปทำความดีในลักษณะต่างๆ ได้แก่ การช่วยชุมชน ช่วยผู้เดือดร้อน ช่วยดูแลการจราจร ช่วยแนะนำผู้มาสมัครเข้าเรียน เป็นต้น
10. พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามมีบทบาทสำคัญมากในการบริหารประเทศรวมถึงในการบริหารการศึกษา ซี่งถือเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาชาติด้วยการพัฒนาคนทั้งในด้านคุณธรรมความสามารถ และการมีสุขภาพแข็งแรง ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งในระดับบริหารจะต้องเป็นสมาชิกพรรคซึ่งจะต้องผ่านเงื่อนไขที่เข้มงวดรวมถึงการมีทั้งความดีและความสามารถ การเป็นสมาชิกพรรคจึงไม่ใช้เรื่องง่ายแต่ก็เป็นที่พึงปรารถนาของชาวเวียดนามโดยทั่วไปที่ประสงค์จะมีความก้าวหน้าในต่ำแหน่งหน้าที่การงาน โดยนัยนี้พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามจึงเป็นทั้งกลไกการจัดการขนาดใหญ่สำหรับประเทศและสังคมของเวียดนาม พร้อมๆกับเป็นกลไกส่งเสริมและควบคุมคุณภาพของบุคลากรไปในตัว
หมายเหตุ
            1. รายละเอียดจากการศึกษาดูงานครั้งนี้มีอีกมาก ผู้ร่วมคณะศึกษาดูงานแต่ละคนมีการบันทึกในลักษณะต่างๆกัน คนหนึ่งที่บันทึกอย่างละเอียดเป็นรายวันรวมทั้งสรุปเชิงวิเคราะห์และวิจารณ์ด้วย คือ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ซึ่งได้เขียนบันทึกนั้นลงใน Webblog “Gotoknow.org” ภายใต้ชื่อ Gotoknow.org/thaikm
2. ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) ได้สนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยเรื่อง “คุณลักษณะและกระบวนการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมของประทศเวียดนาม” ซึ่งทำการศึกษาวิจัยโดย รตอ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ โดยได้นำผลการศึกษาวิจัยมาตีพิมพ์เป็นเอกสารเรียบร้อยแล้วและได้ใช้เอกสารดังกล่าวประกอบการศึกษาดูงานครั้งนี้ด้วย
3. ในระหว่างการศึกษาดูงาน ได้มีกระบวนการสะท้อนความคิดเห็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเป็นระยะๆ ทำนอง AAR (After Action Review) ซึ่งเป็นประโยชน์และมีคุณค่ามาก รวมทั้งได้นัดหมายที่จะให้คณะผู้ศึกษาดูงานได้พบกันและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจกรรมที่แต่ละคนได้ดำเนินการหรือจะดำเนินการ รวมถึงกิจกรรมที่อาจจะดำเนินการร่วมกันโดยหลายคนหรือหลายฝ่ายด้วย

ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
17 พ.ค. 49

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ  https://www.gotoknow.org/posts/29367

<<< กลับ

การสร้าง สร้างชาติ สร้างจิตสำนึก และมโนธรรมในสังคม

การสร้าง สร้างชาติ สร้างจิตสำนึก และมโนธรรมในสังคม


(25 พ.ค. 49) ไปเป็นวิทยากรใน หัวข้อ “การสร้างคน สร้างชาติ สร้างจิตสำนึก และมโนธรรมในสังคม” ในหลักสูตร “นักบริหารระดับสูง : ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์” ประจำปี 2549 รุ่นที่ 47,48,49 และ50 (ร่วมสัมมนาพร้อมกัน) จัดโดยสำนักงาน กพ.
ได้ใช้ Power Point ดังต่อไปนี้ประกอบการบรรยายและนำอภิปราย

ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม

29 พ.ค. 49

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ  https://www.gotoknow.org/posts/31742

<<< กลับ

ประชาธิปไตย ประชาสังคม และการมีส่วนร่วมทางการเมือง

ประชาธิปไตย ประชาสังคม และการมีส่วนร่วมทางการเมือง


(28 พ.ค. 49) ร่วมอภิปรายในหัวข้อ “ประชาธิปไตย ประชาสังคม และการมีส่วนร่วมทางการเมือง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรม หลักสูตร “การพัฒนานักกฎหมายภาครัฐระดับต้น รุ่นที่ 1” จัดโดยสถาบันพระปกเกล้า ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สำหรับนิติกรระดับ 5 – 6 ของหน่วยงานภาครัฐ จำนวนประมาณ 600 คน

ผู้ร่วมอภิปราย คือ ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ โดยมี รศ.ดร.โคทม อารียา เป็นผู้ดำเนินการรายการ (พร้อมร่วมอภิปราย)

ผมได้อภิปรายโดยพูดถึงกรณีน่าศึกษาที่เกิดขึ้นแล้วจริง ดังนี้

1. กรณีประชาธิปไตย ประชาสังคม และการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับท้องถิ่น 4 กรณี คือ

(1) ตำบลควนรู อ.รัตภูมิ จ.สงขลา

(2) ตำบลเสียว กิ่งอ.โพธิ์ศรีสุวรรณ จ.ศรีสะเกษ

(3) ตำบลน้ำเกี๋ยน กิ่งอ.ภูเพียง จ.น่าน

(4) บ้านหนองกลางดง ต.ศิลาลอย กิ่งอ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์

2. กรณีขบวนการองค์กรชุมชน และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.)

3. กรณีขบวนการปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพ การร่างพรบ.สุขภาพแห่งชาติ และการปฏิรูประบบสุขภาพในประเทศสวีเดน

4. กรณีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 – 10 และรัฐธรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540

ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม

7 มิ.ย. 49

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ  https://www.gotoknow.org/posts/33252

<<< กลับ