ประชาสังคมกับการปฏิรูปสังคมไทยในภาวะวิกฤติ
(คำบรรยายพิเศษในการสัมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “ประชาสังคม: ความคาดหวังของสังคมไทย” จัดโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วันที่ 8-9 กรกฏาคม 2553 ณ โรงแรมแม่น้ำรามาดาพลาซา กรุงเทพฯ)
กราบเรียนท่านรองนายกรัฐมนตรี คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ท่านผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง พม. ท่านผู้มีเกียรติ เพื่อนๆพี่น้องทุกคนครับ วันนี้ผมมาด้วยความยินดี นอกเหนือจากผู้ซึ่งผมรู้จักคุ้นเคยและทำหน้าที่สำคัญอยู่ในบ้านเมืองคือท่านรองนายกรัฐมนตรี และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้พบเพื่อนเก่าหลายคนในกระทรวง พม. ได้พบเพื่อนเก่าหลายคนในวงการประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชนและอื่นๆ และยินดีที่ได้รับเชิญให้มาพูดในหัวข้อซึ่งผมคิดว่ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าหัวข้ออื่นๆที่เราพูดกันในขณะนี้ อันเนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองที่ได้ผ่านความวิกฤติอย่างหนักและยังคงวิกฤติอยู่ แต่เราจะต้องช่วยกันรวมพลังสร้างสรรค์ขับเคลื่อนสังคมไทยให้พ้นจากวิกฤติไปสู่เส้นทางที่มีความเป็นปึกแผ่นมั่นคง เจริญก้าวหน้า และสันติสุขให้ได้ โดยเฉพาะให้ดีกว่าเดิม เพราะในเวลาหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยอยู่ในสภาพที่ถือว่าไม่ดีเท่าไรนัก มีความไม่ดีที่สะสมมากขึ้นๆมาเรื่อยจนกระทั่งถึงจุดระเบิดเมื่อเดือนเมษายน พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงปัญหาหรือความไม่ดีหลายๆอย่างที่สะสมมานั่นเอง
อาจเปรียบเทียบได้กับการเป็นโรคที่ผมเองบังเอิญเป็นอยู่ทั้งๆที่ผมมีสุขภาพดีมากมาตลอด 60 กว่าปีของการมีอายุ แต่ผมก็มีส่วนของสุขภาพที่มีเหตุมีปัจจัยไม่ดีสะสมมาโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งในวัย 63 ปี จนถึงวัย 69 ในปัจจุบันผมได้เป็นโรคที่ทำให้คนเสียชีวิตมากที่สุดในประเทศไทยและในโลกถึง 2 โรค ซ้อนกัน 2 โรคนี้ทำให้คนเสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 ผมเป็นทั้งคู่จึงถือว่าโชคดี (หัวเราะ) คือน้อยคนนะครับจะมีโอกาสได้เป็น คนจำนวนมากได้เป็นหนึ่งในสองโรค ถือว่าดี แต่ผมเป็นทั้ง 2 อย่างจึงถือว่าดีมาก เป็นประสบการณ์ที่ให้คุณค่าดีทีเดียว และผมยังคงรู้สึกเป็นคนที่มีความสุขมาโดยตลอด วันนี้ผมก็มีความสุขที่ยังสามารถมานั่งพูดปาฐกถาได้ ตะกี้เดินหกล้มนิดหน่อยไม่เป็นไร เหตุเพราะผมมีเรี่ยวแรงลดลงแต่ก็ยังพอมีแรง อาจจะ 50% ของปกติ สมองยังทำงานได้อาจจะ 75 % ของที่เคยเป็น ก็ยังพอทำประโยชน์ได้ ผมตั้งใจอยู่เสมอว่าตราบใดที่ยังมีแรงพอทำประโยชน์ได้ก็จะทำไปเท่าที่สามารถทำได้ จนกว่าสัจธรรมของธรรมชาติจะกำหนดให้ร่างกายต้องแปรสภาพไปเป็นสิ่งไม่มีชีวิต แปรสภาพไปเป็นอย่างอื่น ก็จบกันสำหรับการเป็นคนที่มีชีวิต คือผมมองชีวิตเป็นธรรมะเป็นธรรมชาติ ฉะนั้นเรื่องโรคภัยไข้เจ็บสำหรับผมจึงไม่มีประเด็นและไม่มีความวิตกกังวลอะไร ทุกวันนี้มีความสุขดี สำหรับเพื่อนๆผมก็ขอบคุณที่มีความห่วงใยและปรารถนาดีมากๆ บางคนพูดกับผมว่าไม่รู้ว่าป่วยจะไปเยี่ยม ผมก็บอกว่าผมไม่ได้ป่วยหรอก เพียงแต่ร่างกายทรุดโทรมไปเหตุตามปัจจัยซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาตามธรรมชาติ ดังนั้นถ้าเป็นห่วงก็ส่งใจไปให้ก็พอ บางคนนั่งสมาธิตอนกลางคืนส่งกระแสจิตมาให้ คงจะมาถึงบ้างทำให้ผมพอยังอยู่ได้และอยู่อย่างมีความสุข ปราศจากความทุกข์ความกังวลใดๆ ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับสมัยที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ปัจจุบันนี้มีความสุขมากกว่าอย่างชัดเจนเลยครับ (หัวเราะ)
หัวข้อเรื่องที่จะพูดวันนี้ คือ “ประชาสังคมกับการปฏิรูปสังคมไทยในภาวะวิกฤติ” ผมจะพยายามตอบคำถาม 3 ข้อ
- ประชาสังคมคืออะไร
- ประชาสังคมจะมีส่วนช่วยปฏิรูปสังคมไทยได้อย่างไร
- ควรทำอะไรบ้างเพื่อส่งเสริมสนับสนุนประชาสังคมไทยให้เจริญก้าวหน้าเป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยได้ดียิ่งขึ้นและมากยิ่งขึ้น
หวังว่าทั้ง 3 หัวข้อคงตอบคำถามในใจของท่านได้ หรืออย่างน้อยก็ช่วยทำให้เกิดความกระจ่าง ถ้าตรงกันท่านก็มีความมั่นใจมากขึ้น ถ้าไม่ตรงกันท่านก็มีโจทย์ที่จะไปค้นหาคำตอบต่อไป อ้อ! เมื่อกี้ผมไม่ได้บอกว่ามีเรื่องที่ผมยินดีอีกหนึ่งเรื่องคือ ท่านรองนายกรัฐมนตรีสุเทพและท่านรัฐมนตรีอิสระได้นำร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมประชาสังคมเพื่อการพัฒนาแห่งชาติมาดำเนินการ
ซึ่งระเบียบนี้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ ที่จริงคือหมอพลเดชกับผมเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ก็ได้เสนอระเบียบและได้รับความเห็นชอบ เมื่อเห็นชอบและออกเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว รัฐบาลก็หมดอายุไป ต่อมาอีก 2 รัฐบาลคงจะยุ่งอยู่ จึงไม่ได้มีเวลามาจัดการกับระเบียบ แต่มาถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันแม้จะยุ่งแต่ก็มีที่ว่างในใจพอที่จะมาดูว่าระเบียบอะไรเป็นประโยชน์ก็นำมาใช้ ข้อนี้ต้องขอขอบคุณ ชื่นชม ยินดี และผมก็ยินดีให้ความร่วมมือในฐานะที่มีส่วนทำให้เกิดระเบียบนี้ขึ้นมา
พี่น้อง ท่านผู้มีเกียรติครับ ต่อไปนี้ผมจะตอบคำถามที่ 1. “ประชาสังคม” คืออะไร
“ประชาสังคม” ถ้าเราคิดง่ายๆก็ไม่มีอะไรมาก คือเรามองสังคม และดูว่าองค์ประกอบคืออะไร ความเป็นสังคมก็คือการที่มีผู้คนและมีกิจกรรมเกิดขึ้น ถ้าไม่มีคนหรือว่ามีคนแต่อยู่เฉยไม่ทำอะไร ก็ไม่เรียกว่าสังคม แต่เพราะมีคนและทำอะไรกันจึงเรียกว่าสังคม สิ่งที่ทำเราอาจจะแยกหรือถ้าเรียงลำดับ จากใหญ่มาเล็ก จากสำคัญมากมาสำคัญน้อย ผมต้องพูดถึงภาคประชาสังคมก่อน ปกติคนชอบพูดภาครัฐก่อนเพราะความที่เราอยู่ภายใต้การจัดการของภาครัฐ การปกครองของภาครัฐ เราจะนึกถึงภาครัฐก่อนแต่จริงๆแล้ว สำคัญกว่าภาครัฐคือภาคประชาชน ประชาชนมาก่อนครับ ซึ่งก็ตรงกับคำขวัญของพรรคประชาธิปัตย์ที่ว่า “ประชาชนต้องมาก่อน” ไงครับ (หัวเราะ) ในสังคมจึงมีประชาชนซึ่งจะรวมตัวกันทำโน่นทำนี่ เช่นฝนตก น้ำท่วมเขาก็มาช่วยกันทำเขื่อน ไฟไหม้มาช่วยกันดับ จะปลูกข้าวก็มาช่วยกันลงแขกและทำอาหารเลี้ยงกัน คนทะเลาะเบาะแว้งกันมาช่วยกันห้าม หรือญาติมาช่วยกันไกล่เกลี่ย กิจกรรมประเภทนี้เป็นกิจกรรมของประชาชน และเราเรียกว่าเป็นกิจกรรมประชาสังคมหรือสังคมที่เป็นประชาชน คำว่าสังคมก็หมายถึงการที่คนมารวมกันมาทำโน่นทำนี่ ฉะนั้นประชาสังคมก็คือกิจกรรมของประชาชนที่มาทำเรื่องต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน หรือเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ทั้งนี้โดยไม่มีอำนาจอะไร ถ้ามีอำนาจ เช่นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายอำเภอ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นรัฐมนตรี พอใช้อำนาจแล้วตรงนี้เป็นภาครัฐ หรือถ้ามารวมตัวกันและไปค้าไปขาย ซื้อของไปขายได้กำไรเอามาแบ่งกัน อย่างนี้เรียกว่าธุรกิจ ฉะนั้นภาคประชาชนและภาคประชาสังคมไปด้วยกัน ประชาชนเป็นฐาน ประชาสังคมเป็นกิจกรรมคือเกิดเป็นองค์กร เป็นกลุ่มขึ้นมาหรือเป็นเครือข่าย เราเรียกว่าองค์กรประชาสังคม หรือ เครือข่ายประชาสังคม เป็นกิจกรรมประชาสังคม ทั้งหมดรวม ๆ แล้ว เรียกว่าภาคประชาสังคม หรือ Civil Society Sector
สรุปได้ว่าเมื่อมีประชาชน มีกิจกรรม ก็เกิดเป็น “ ประชาสังคม” จากนั้นจึงเกิดอีก 2 อย่างตามมา ได้แก่ “ภาคธุรกิจ” และ “ภาครัฐ” นั่นคือประชาชนมีการค้าขาย มีการผลิต มีการจำหน่าย เราเรียกว่า “ภาคธุรกิจ” พร้อมกันนั้น เมื่อคนมาอยู่ร่วมกัน มีเรื่อง มีประเด็นมากขึ้น ก็ต้องมีคนมาดูแลจัดระเบียบ ออกกฎข้อบังคับจึงเกิดเป็น “ภาครัฐ” ซึ่งมีอำนาจหน้าที่จัดการดูแลสังคม ฉะนั้นสังคมจึงมีองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ
- ภาคประชาชน หรือ ภาคประชาสังคม
- ภาคธุรกิจ
- ภาครัฐ
ที่เรียงลำดับเช่นนี้เพราะว่าระดับการเกิดเป็นแบบนั้น ในความคิดเชิงรัฐศาสตร์หรือเชิงการบริหารจัดการบ้านเมือง ภาคประชาชนควรสำคัญที่สุด ภาคธุรกิจสำคัญรองลงมา และภาครัฐควรสำคัญน้อยที่สุด คำว่าสำคัญผมหมายถึงว่า ความยิ่งใหญ่ ความมีศักดิ์ศรี ความมีบารมี ควรอยู่ที่ภาคประชาชนเป็นอันดับต้น ส่วนภาคธุรกิจรองลงมา และภาครัฐควรน้อยที่สุด ภาครัฐคือผู้รับใช้ประชาชนเพราะได้อำนาจมาจากประชาชน ไม่ใช่อยู่ดี ๆก็มีอำนาจ แม้แต่สมัยเผด็จการ สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์พระเจ้าแผ่นดินจะครองราชย์อยู่ได้ก็เพราะประชาชนสนับสนุน ถ้าประชาชนไม่สนับสนุนท่านก็อยู่ไม่ได้ พระเจ้าแผ่นดิน
จึงต้องมีทศพิศราชธรรมซึ่งเป็นธรรมะที่จะครองใจคนให้คนยอมรับนับถือ
ฉะนั้นจึงหวังว่าคำว่า “ประชาสังคม” ไม่ใช่คำที่ลึกลับซับซ้อนมากมายอะไร ก็คือกิจกรรมของประชาชนที่รวมตัวกันกระทำในเรื่องต่างๆ อันเป็นประโยชน์ร่วมกันหรือเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เช่นเป็นสมาคม มูลนิธิ หรือจะรวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เราก็เรียกว่าประชาสังคม ส่วนอีก 2 ภาคคือภาคธุรกิจและภาครัฐก็มีความสำคัญด้วย และในสังคมที่ดี 3 ภาคนี้จะต้องเชื่อมโยงเกี่ยวพันเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ซึ่งผมจะได้พูดถึงในอันดับต่อไป
คำถามที่ 2 คือ “ประชาสังคมจะมีส่วนปฏิรูปสังคมไทยได้อย่างไร” โดยเฉพาะในสภาวะที่บ้านเมืองวิกฤติและหลายฝ่ายได้ออกมาบอกว่าเราจะต้องปฏิรูปประเทศไทย พร้อมๆไปกับการสร้างความปรองดอง นี่คือ Key word หรือคำสำคัญ 2 คำ คือคำว่าปรองดองกับปฏิรูป ท่านนายกฯได้พูด 2 คำนี้ ท่านรองนายกสุเทพฯ ก็พูด 2 คำนี้ ผมเองเป็นคนนอกไม่ได้เกี่ยวข้องอยู่ในกระบวนการทั้งปรองดองและปฏิรูป เป็นผู้สังเกตการณ์ แต่ก็ได้ให้ความคิดความเห็นไปบ้างเท่าที่ทำได้ โดยเฉพาะในช่วงประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา คือผมอยู่ที่ประเทศอังกฤษระหว่างวันที่ 1 – 15 พฤษภาคม 2553 ก่อนเดินทางผมปรารภกับภรรยา คือไปกับภรรยา เดี๋ยวนี้ผมเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ค่อยได้ต้องมีคนไปด้วย คนไปด้วยกันที่ดีที่สุดคือภรรยา ก็ปรารภกับภรรยาว่า 2 อาทิตย์ที่ไม่อยู่คงต้องเกิดเรื่องในประเทศไทยแน่ๆ แต่อยู่ไปตั้ง 10 กว่าวันยังเงียบอยู่ เปิด SMS ก็ไม่มีอะไรบอกเอ้อดี ๆ เพราะเคยไปต่างประเทศแบบนี้ เมื่อเมษาปีที่แล้วต้องไปฟังข่าว SMS เรื่องเมษาเลือดปี 52 ระหว่างอยู่อเมริกาใต้ และวันที่ 10 เดือนเมษา ปีนี้ผมและภรรยาอยู่ที่จอร์แดน ต้องมาฟังเรื่อง 10 เมษาที่จอร์แดนและข่าวลือเวลาไปจากเมืองไทยไปถึงต่างประเทศมันคนละเรื่อง เช่นข่าวลือทหารถูกยิงระหว่างนั่งเฮลิคอปเตอร์ ยิงทะลุท้องเฮลิคอปเตอร์ไปถูกนายทหารจนเสียชีวิต ข่าวลือโดยเฉพาะประเภทคลาดเคลื่อนไปเร็วมาก เช่นเดียวกับเราอยู่เมืองไทย ข่าวลือจากต่างประเทศที่เราได้รับมามักแปลก ๆ และบูดเบี้ยว เช่นเมื่อ 2-3 วันก่อนมีคนโทรมาหาผมบอกว่าขอโทษที่ไม่ได้ไปเยี่ยม ไม่รู้ว่าคุณไพบูลย์ไม่สบาย เห็นว่าไปรักษาถึงอเมริกาหรือครับ ซึ่งในความจริงผมไม่ได้ไปอเมริกา และ ผมก็ไม่เคยไปรักษาตัวในต่างประเทศรวมถึงไม่เคยมีความคิดอยากไปรักษาตัวในต่างประเทศ ยังไง ๆ ก็ขอรักษาตัวในเมืองไทย ถ้าจะตายก็ขอตายในเมืองไทย มากกว่าจะไปตายในต่างประเทศ เพราะอย่างนั้นข่าวลือจะไปเร็วมากและโอกาสคลาดเคลื่อนสูงมาก ท่านรองนายกสุเทพฯทราบดี ในเรื่องข่าวลือนะครับ ผมกับภรรยาเดินทางไปประเทศอังกฤษระหว่างวันที่ 1-15 พฤษภาคม วันที่ 14 เป็นวันเดินทางกลับรู้สึกโล่งใจว่าไปอยู่ตั้ง 2 อาทิตย์ยังไม่มีเหตุการณ์รุนแรงในประเทศไทย ที่ไหนได้นั่งอยู่สนามบิน CNN ออกข่าวแล้วว่ายิงกันตูมตาม ออกมาทางจอ CNN กลับมาถึงกรุงเทพฯ แล้วระหว่างวันที่ 15 -19 พฤษภาคม ก็ตกอยู่ในสภาวะ
ที่พวกเราทราบดี
ผมคิดว่าผมควรทำอะไรบางอย่าง เลยเขียนออกมาเป็นบันทึกลงวันที่25 มิถุนายน ใช้หัวข้อว่า “การฟื้นฟูและขับเคลื่อนประเทศไทย ภายหลังวิกฤติ “เมษา-พฤษภา มหาวินาศ” สำหรับเป็นเอกสารประกอบเวลาที่ผมได้รับเชิญไปพูดในที่ต่าง ๆ และสำหรับเผยแพร่ทั่วไป ปัญหาของประเทศไทยถ้าเปรียบเทียบกับหลายประเทศ จะพบว่าประเทศเหล่านั้นมีสภาพเลวร้ายกว่าเรา เช่นเปรียบเทียบกับฟิลิปปินส์ ผมว่า เขาแรงกว่าเรา เพราะเขารบกันเป็น 10 ปี เทียบกับอินโดนีเซียสมัยที่รบกันก็แรงกว่าเรา เทียบกับศรีลังกา เป็นคนละเรื่องเลยเพราะเขารุนแรงแรงกว่าเรามาก เทียบกับพม่าก็แรงกว่าเรามาก ตะวันออกกลางแรงสุด ๆ อัฟกานิสถาน หรือ อัฟริกาใต้สมัยที่เขารบกัน ก็แรงมาก ๆ แต่เดี่ยวนี้อินโดนีเซียสงบแล้ว ด้วยการเจรจาต่อรองโดยอาศัยคนกลางช่วย ศรีลังกาสงบโดยรัฐบาลรบจนชนะกองกำลังพยัคฆ์ทมิฬ ส่วนที่อัฟริกาใต้ เราชื่นชมเนลสัน มันเดลลา ผู้ก่อให้เกิดความสมานฉันท์ได้สำเร็จโดยใช้กุศโลบายต่างๆ คือ การสร้างความสมานฉันท์เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ มันเดลลาใช้รักบี้เป็นกุศโลบาย ถ้าใครได้อ่านหรือได้ดูหนังชื่อ “Invictus” เป็นหนังเกี่ยวกับมันเดลลาซึ่งใช้กีฬารักบี้เป็นเครื่องมือสร้างความสมานฉันท์ และหลายครั้งเขาต้องขัดกับคนผิวดำด้วยกัน เพื่อจะทำให้เกิดทัศนคติที่จะเอื้อต่อการสร้างความสมานฉันท์ คือรักบี้เป็นกีฬาที่คนขาวเล่น แต่คนดำเล่นฟุตบอล ฉะนั้นคนดำจะไม่ชอบรักบี้ คนขาวจะไม่ชอบฟุตบอล ทำอย่างไรให้เข้ามาหากันได้อยู่ร่วมกันได้คือสิ่งที่มันเดลลาพยายามทำ และในที่สุดเขาสามารถจัดรักบี้โลกและอย่างไม่น่าเชื่อ เขาได้เป็นแชมเปี้ยนโลกทั้งๆ ที่ทีมของเขาไม่ได้เก่งวิเศษมากนัก แต่ด้วยแรงใจที่เขาทำให้คนมารวมกันได้ทำให้สามารถสร้างความสมานฉันท์จากกีฬารักบี้ได้เป็นผลสำเร็จ
ที่อังกฤษมีขบวนการที่เรียกว่ากองทัพสาธารณรัฐไอริช หรือไอริชริพับริกันอาร์มี หรือ IRA ก่อการร้ายทั่วอังกฤษ มาถึงลอนดอน คล้าย ๆ เมืองไทยคือไม่รู้ใครทำ แต่มาทำถึงเมืองหลวง เป็นครั้งเป็นคราว ในที่สุดเขาตกลงกันได้โดยการพูดจากัน โอ้ยแต่พูดกันหลายรอบมากไม่ใช่พูดกันแค่เดือน 2 เดือน พูดกันเป็นปีๆ แล้วในที่สุดมีวุฒิสมาชิกชาวอเมริกันมาช่วยเป็นคนกลางในการเจรจา ส่วนเรื่อง อาเจะในประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นสงครามแบ่งแยกดินแดนก็อาศัยนายกรัฐมนตรีไอส์แลนด์มาช่วย คือมาช่วยทำหน้าที่คนกลางให้
ประเทศไทยอาจจะไม่ถึงขั้นต้องมีชาวต่างประเทศมาช่วยเป็นคนกลาง แต่ว่าคนไทยด้วยกันน่าจะหาได้ถ้าตั้งใจจะหากันทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐบาลทั้งฝ่ายตรงข้าม หรือหากหาไม่ได้ผมว่าตรงนี้ละครับ “ภาคประชาสังคม” อาจจะเข้ามามีบทบาทได้ ผมทราบว่าในระหว่างที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในเดือนเมษายนได้มีกลุ่มคนที่เรียกได้ว่าเป็น ภาคประชาสังคม คือไม่ได้ใช้อำนาจรัฐ และไม่ได้ทำในเชิงธุรกิจ ได้พยายามเข้ามาช่วยเหลือเชื่อมโยงให้คู่กรณีได้พูดจากัน ซึ่งปรากฏว่าได้ผลดีระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในวันที่ 10 เมษายนถ้าเผื่อไม่ได้มีการพูดจากันคงจะรุนแรงมากกว่านั้น แต่ด้วยเหตุที่ได้มีการพูดจากันบ้างแล้ว พอเกิดเหตุวิกฤติก็ยกหูโทรศัพท์พูดคุยกันและก็ตกลงยุติการใช้อาวุธ ข้อมูลผมอาจจะไม่ถูกต้องก็ได้นะครับท่านรองสุเทพ คงจะรู้ดีกว่าผม แต่ว่าที่พูดนี้เพื่อชี้ว่าบทบาทของคนหลายฝ่ายในสังคม ถ้าหันมาเกื้อกูลกันและช่วยเหลือกันหลายครั้งก็ช่วยกันได้จริงและเกิดผลดีจริง
ขณะนี้เรากำลังพยายามจะปฏิรูปสังคมไทยและสร้างความปรองดอง 2 คำนี้เป็นคำที่สำคัญทั้งคู่และก็คู่ขนานกัน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันแต่เกี่ยวโยงกัน คุณหมอประเวศและคุณอานันท์ พยายามพูดว่าคณะกรรมการปฏิรูป 2 คณะของท่าน คือคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป(คสป.)ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องปรองดอง แต่ใจผมคิดว่าการปฏิรูปคือการปรองดองทางอ้อมหรือการปรองดองระยะยาวซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและควรทำ แต่ถ้าจะพูดถึงการปรองดองทางตรงก็คือให้คู่กรณีนี่แหละมาพูดจากันจนกระทั่งหาข้อตกลงร่วมกันได้ หย่าศึกกันได้ จนกระทั่งเรื่องร้อนมันเย็นลง อาจจะไม่ถึงกับหันมารักกันแต่ก็อย่างน้อยเรื่องร้อนเย็นลง คืออย่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์ ถ้าไปถึงขั้นให้เขาหยุดยิงกันได้ก็ถือว่าก้าวหน้าไป 50% แล้ว
ยังไม่ต้องถึงขั้นให้หันมารักกัน แต่ของเรายังไม่ถึงขั้นยิงถล่มใส่กันเหมือนอย่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ แต่เราก็มีการเผชิญหน้ามีความเป็นปฏิปักษ์สูงด้วยท่าที ด้วยถ้อยคำ ด้วยการกระทำผ่านสื่อต่างๆ เป็นบรรยากาศที่ไม่น่าจะทำให้คนไทยมีความสุข ฉะนั้นน่าจะต้องพยายามต่อไปที่จะแก้ไขและสร้างความปรองดอง คือ การสร้างความปรองดองมีกรรมวิธีซึ่งเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ถ้าเป็นกรณียาก ๆ มักจะต้องมีคนกลางช่วยหน่อยเหมือนอย่างวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 มีคณะจากวุฒิสภาพยายามไปเป็นคนกลาง คนกลางนี้จะต้องเป็นที่ยอมรับของทั้ง 2 ฝ่าย คณะกรรมการของอาจารย์คณิต ณ นคร อาจทำหน้าที่นี้ เพราะจะได้กำหนดภารกิจว่าจะตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ และ ณ ปัจจุบันยังไม่มีฝ่ายใดปฏิเสธบทบาทของคณะกรรมการชุดนี้ ฉะนั้นคณะนี้จึงถือว่า เป็นคนที่ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบร่วมกันให้มาทำหน้าที่เป็นคณะปรองดองโดยได้ ส่วนคณะกรรมการปฏิรูปที่รัฐบาลตั้งอีก 3-4 หรือ 5 คณะ เช่น คณะคุณอานันท์ คณะคุณหมอประเวศ คณะปฏิรูปสื่อ คณะพวกนี้ทำหน้าที่ปฏิรูปเป็นหลักครับไม่ใช่ทำเรื่องปรองดอง แต่ถ้าทำได้ดีก็จะมีผลในเชิงการปรองดองด้วย แต่ไม่ใช่การปรองดองโดยตรง ปรองดองโดยตรงคือคณะอาจารย์คณิต เพราะท่านจะค้นหาความเป็นจริง แล้วถึงมาปรองดอง ก็คงจะเอาแบบมาจากอัฟริกาใต้ที่เขาเรียกว่า Truth and Reconciliation Commission ก็คือคณะกรรมการที่ค้นหาความเป็นจริงแล้วก็มาปรองดอง ในการค้นหาความจริงอย่างกรณีอัฟริกาใต้นั้น ถ้าพบว่าใครผิดอะไรจริงๆก็ให้ศาลดำเนินการไปตามกระบวนการยุติธรรม และคนที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าผิดก็จะมีการสนับสนุนให้เขายอมรับว่าเขาผิดและก็ขอโทษ คนที่ตกเป็นเหยื่อหรือญาติพี่น้องของเหยื่อ เมื่อความจริงปรากฎว่าใครเป็นคนทำผิดและคนคนนั้นขอโทษก็จะยอมให้อภัย บรรยากาศดีขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่เรื่องของเราอาจจะซับซ้อนกว่าอัฟริกาใต้ ในแง่ของความรุนแรงเรื่องของเรารุนแรงน้อยกว่าอัฟริกาใต้ แต่มีความสลับซับซ้อนมากกว่าอัฟริกาใต้ ที่อัฟริกาใต้รุนแรงมาก สู้กันเลยด้วยอาวุธ เนลสันมันเดลลาจับอาวุธขึ้นสู้กับรัฐบาลเลยต้องไปติดคุก 27 ปี ระหว่างติดคุกก็เกิดวิสัยทัศน์ เกิดความตระหนักว่าการเจรจาน่าจะเป็นทางที่ดีกว่า และโชคดีได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่แทนคนเก่าที่เป็นประเภทเหยี่ยว นิยมลัทธิแบ่งผิว และมีนโยบายใช้กำลังปราบปรามคนผิวดำ แต่พอดีไม่สบาย คนใหม่มาแทนเป็นประเภทพิราบ นิยมสันติวิธี และเชื่อในเรื่องการเจรจาหาข้อตกลง ทั้ง 2 คนหรือ 2 ผู้นำของแต่ละฝ่ายที่เป็นคู่กรณี จึงพยายามหาทางเจรจากันแทนการรบหรือต่อสู้กัน ในที่สุดก็เกิดสันติภาพในอัฟริกาใต้ ไม่ถึงกับ 100% นะครับ ทุกวันนี้ก็ยังมีอาชญากรรมเยอะแต่นี่เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าการต่อสู้ระหว่างผิวไม่มีแล้วและทั้งเนลสัน ทั้งนายกก็ได้รางวัลโนเบิลทั้งคู่ เป็นตัวอย่างที่ดี และผมเชื่อว่าคณะอาจารย์คณิตคงศึกษามาจากมันเดลลา เพราะว่าเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว มีการเชิญวิทยากร2 – 3 คนจากต่างประเทศที่ทำเรื่อง Truth and Reconciliation Commission มาเล่าให้ฟังว่าเขาทำกันอย่างไรและจะประยุกต์กับเข้าเมืองไทยอย่างไร ผมก็เอาใจช่วยท่านอาจารย์คณิตอยู่ สมัยผมเป็นรองนายกก็ได้ขอให้ท่านมาเป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายซึ่งท่านก็ยังเป็นอยู่ คือตามรัฐธรรมนูญต้องมีการปฏิรูปกฎหมาย เพราะกฎหมายของเราที่มีอยู่มากมายเป็นเหตุหนึ่งของปัญหาในบ้านเมือง คณะกรรมการชุดนี้เป็นคณะกรรมการชั่วคราว มาศึกษาเรื่องการปฏิรูปกฎหมาย พร้อมกันนั้นก็ยกร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการปฏิรูปกฎหมายที่ต้องมีคณะกรรมการถาวรขึ้นมา ท่านร่างเสร็จแล้วเสนอแล้วแต่รู้สึกว่าเรื่องยังไปไม่ถึงรัฐสภาหรือไปแล้วแต่ยังไม่จบ ถ้ายังไม่มีกฎหมายออกมาท่านก็ยังต้องดำรงตำแหน่งนี้ต่อไป
ขอกลับมาพูดเรื่องการสร้างความปรองดองหรือการปฏิรูปสังคม ตามแผนการปรองดองแห่งชาติ ของรัฐบาล ผมดิดว่าควรต้องให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด ซึ่งคณะคุณอานันท์ คณะคุณหมอประเวศ แม้กระทั่งคณะอาจารย์สมบัติ หรือคณะปฏิรูปสื่อ ล้วนใช้วิธีการที่ถือว่าเป็นกิจกรรมประชาสังคม คือเป็นเรื่องของประชาชนและเกี่ยวกับประชาชน ซึ่งในบางครั้งอาจมีคนในภาครัฐ หรือในภาคธุรกิจ มาทำกิจกรรมที่ไม่ได้เป็นธุรกิจและไม่ได้ใช้อำนาจรัฐ เราก็ถือว่าป็นกิจกรรมประชาสังคม สมมติว่าวันหนึ่งเราจัดสัมมนาพูดคุยกัน ระดมความคิดเรื่องการปฏิรูปสื่อ แล้วชวนท่านรองสุเทพมา ท่านไม่ได้มาในฐานะเป็นรองนายก ท่านมาในฐานะเป็นนายสุเทพ มาให้ความคิดความเห็น ท่านก็มาทำกิจกรรมประชาสังคม ฉะนั้นเรื่องการปฏิรูปสังคมไทยที่เราตั้งต้นไว้ดีแล้วมีหลายคณะเลย มีทั้งคณะคุณอานันท์ คณะคุณหมอประเวศ คณะอาจารย์สมบัติ คณะอาจารย์จุฬาที่ทำเรื่องสื่อ มีคณะพลตำรวจเอกวศิษฐ์ ที่ทำเรื่องการปฏิรูปตำรวจ การปฏิรูปพวกนี้นะครับ ประชาสังคมควรมีส่วนร่วมด้วยแน่ๆ และเป็นเรื่องที่ดีเพราะว่าจะปฏิรูปสังคมก็ต้องเกี่ยวกับประชาชน และประชาชนที่รวมตัวกันเราเรียกว่าประชาสังคม ฉะนั้นจึงไม่ต้องมีประเด็นว่าประชาสังคมเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปประเทศไทยหรือไม่ หรือควรมีส่วนร่วมในการปฏิรูปสังคมไทยหรือไม่ ประชาสังคมต้องเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปแน่ ๆ และควรต้องมีส่วนร่วมให้มากที่สุดในการปฏิรูปนั้น สำคัญที่ว่าคนไปจัด ๆ ให้ดีได้อย่างไร จัดสมัชชาให้ดีอย่างไร จัดสัมมนาระดมความคิดให้ดีอย่างไร จัด Focus group อย่างไรถึงจะดี หรือจัดเป็นอย่างที่คุณชัยวัฒน์จะมานำท่านทำกิจกรรมระดมความคิด เหล่านี้เป็นประเด็นสำคัญทั้งสิ้น
ตามที่ผมเขียนไว้ในเอกสาร การทำอะไรยากๆที่สลับซับซ้อนหรือที่ละเอียดอ่อนมาก ๆ โดยเฉพาะในเรื่องความขัดแย้งที่เราพยายามแก้ไข พร้อมกับความพยายามจะปฏิรูปซึ่งจะเป็นการปฏิรูปภายใต้ภาวะความขัดแย้ง การจะทำเรื่องที่ยาก ละเอียดอ่อน และสลับซับซ้อนเช่นนี้ ควรต้องมี 3 องค์ประกอบที่สำคัญประสานพลังกันอย่างเพียงพอและสมดุลย์ ได้แก่
องค์ประกอบที่ 1 คือเรื่องกระบวนการ วิธีที่เราดำเนินการเป็นอย่างไร มีจังหวะ มีลีลา มี
ขั้นตอน ต่าง ๆ อย่างไร และ อื่น ๆ
องค์ประกอบที่ 2 เรื่องทัศนคติ เราจะสร้างทัศนคติหรือสร้างบรรยากาศให้ดีได้อย่างไร
องค์ประกอบที่ 3 คือเรื่องสาระ เป็นตัวเนื้อหาที่จะหยิบยกขึ้นหารือ เจรจาต่อรอง เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันให้ได้ในที่สุด
ส่วนใหญ่ที่ความพยายามปรองดองไม่ประสบความสำเร็จเพราะเรามักกระโจนเข้าสู่สาระเลย ข้ามขั้นตอนหรือขาดองค์ประกอบในด้านกระบวนการที่เหมาะสม และขาดการสร้างทัศนคติหรือบรรยากาศที่เอื้ออำนวย ทำให้ไม่สามารถได้ข้อตกลงที่พอใจหรือยอมรับร่วมกันได้ เช่น เราเชิญมาประชุมและบอกว่าเราจะเอาอย่างไรกันเลย อภิปรายกันคนนั้นจะเอาอย่างนี้คนนี้จะเอาอย่างนั้นแล้วก็ตกลงกันไม่ได้ ดีไม่ดีทะเลาะกันชี้หน้าด่ากัน อย่างที่เราเคยเห็นในจอโทรทัศน์ใช่ไหมครับ ถ้าจัดกระบวนการดี สร้างบรรยากาศดี ทำให้เกิดทัศนคติดี สาระดีๆ จะตามมา ฉะนั้นถ้าจะให้ภาคประชาสังคมมีส่วนสำคัญในการปฏิรูปประเทศไทยก็ขอให้ดำเนินการโดยที่ว่ามีการจัดกระบวนการที่ดี มีการสร้างทัศนคติที่ดี และก็จะได้สาระที่ดี
คำถามที่ 3 ควรทำอะไรบ้างเพื่อส่งเสริมสนับสนุนประชาสังคมไทยให้เจริญก้าวหน้าเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้ดียิ่งขึ้นและมากยิ่งขึ้น ผมเพิ่งได้อ่านตัวระเบียบซึ่งผมและหมอพลเดชได้ทำให้เกิดขึ้น เมื่อ 2 ปีกว่ามาแล้ว และก็ลืมไปหมดแล้ว แต่พอมาอ่านก็เห็นว่าดี ถ้าท่านเอาระเบียบมาดู และอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ จะเห็นว่ามีความสมบูรณ์ครบถ้วนอยู่ในระเบียบนี้ว่า ประชาสังคมคืออะไร มีคำจำกัดความให้อย่างชัดเจน พร้อมกับระบุด้วยว่าการส่งเสริมประชาสังคมเพื่อการพัฒนาควรทำอย่างไร เป็นข้อความสั้นๆ กระทัดรัด และกินความได้ดีพออยู่แล้ว
ฉะนั้นผมจึงไม่จำเป็นที่จะต้องไปอธิบายรายละเอียดของการส่งเสริมประชาสังคมเพื่อการพัฒนา ซึ่งลำดับไว้ในระเบียบเรียบร้อยหมดแล้ว เพียงแต่ผมอยากจะเสนอแนะรูปธรรมบางอย่างที่น่าจะทำซึ่งผมเชื่อว่าจะเป็นการส่งเสริมประชาสังคมเพื่อการพัฒนาได้เป็นอย่างดี นั่นคือขณะนี้ได้มีความพยายามจากหลายฝ่ายที่จะผลักดันให้เกิดกลไกระดับจังหวัด เป็นกลไกพหุพาคีคือหลาย ๆ ฝ่ายมาร่วมกันที่จังหวัด เพื่อรวมพลังสร้างสรรค์ หรือช่วยกันขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดให้ไปในทิศทางที่พึงประสงค์ ให้เกิดการพัฒนาที่พึงปรารถนา หลาย ๆ ฝ่ายหรือพหุภาคีนี้ควรมีใครบ้าง ผมนึกถึงเครือข่ายหรือองค์กรหรือตัวแทนของภาคส่วนต่างๆที่จะได้สมดุลย์ระหว่างภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐ ภาคประชาชนก็คือภาคประชาสังคมถือว่าเป็นพวกเดียวกัน ฉะนั้นเริ่มต้นต้องนึกถึงตัวแทนเครือข่ายชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเป็นฐานล่างที่สุดและเขามีกลไกอยู่แล้วครับ มีเครือข่ายองค์กรชุมชน ระดับตำบล ระดับจังหวัด ระดับชาติ มีเครือข่ายสภาองค์กรชุมชน ทั้งระดับตำบล ระดับจังหวัด และระดับชาติเช่นเดียวกัน เป็นต้น
นอกจากบรรดาองค์กรชุมชนต่างๆแล้วก็จะมีเครือข่ายภาคประชาสังคมของจังหวัด พวกนี้ได้แก่นักจัดกิจกรรมหรือทำกิจการมทั้งหลาย ที่ดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องปัญหายาเสพติด เรื่องสร้างคุณธรรม จริยธรรม เรื่องส่งเสริมศิลปะวัฒนธรรม มูลนิธิ สมาคม ทั้งหลาย ก็รวมอยู่ในคำว่าภาคประชาสังคม ซึ่งเขามีเครือข่ายอยู่และก็สามารถมารวมตัวกันหรือส่งตัวแทนมาในระดับจังหวัดได้ นี่คือภาคประชาชนและประชาสังคม ขยายความอีกหน่อยก็ต้องรวมถึงสถาบันวิชาการ เช่นมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ในจังหวัดที่เราจะขับเคลื่อน หรืออยู่ในจังหวัดใกล้เคียง เพราะเขาเป็นนักวิชาการที่จะมาเป็นประโยชน์ได้ นอกจากมหาวิทยาลัยก็มีวิทยาลัย โรงเรียน ล้วนสามารถเป็นประโยชน์ได้ด้วย มีสถาบันศาสนา สถาบันจริยธรรม สถาบันศิลปะวัฒนธรรม ศิลปิน สื่อ สื่อท้องถิ่น สื่อในจังหวัด หรือสื่อระดับชาติที่ไปทำงานที่จังหวัด เหล่านี้ผมรวมอยู่ในคำว่า “ภาคประชาชนและประชาสังคม” นี่คือชุดที่หนึ่ง ขององค์ประกอบ 3 ชุด นะครับ
อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/385064