ตั้งสภาผู้นำท้องถิ่น ดันการเมืองรากแก้วเข้มแข็ง
(สัมภาษณ์พิเศษลงใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2549 หน้าที่ 2)
นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ผมจะเสนอเรื่องชุมชน ซึ่งเหมือนมองจากพื้นดินขึ้นสู่ฟ้า คำถามคือชุมชนท้องถิ่นเรียนรู้อะไรในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแยกแยะออกมาได้ 7 ประการ คือหนึ่ง การเรียนรู้ทุกข์สุขอย่างเฉียบพลัน ซึ่งไม่ได้ลบทั้งหมด มีบวกในเรื่องราคาเกษตรบางตัวดีขึ้น แต่ทางลบการจ้างงานหยุด ต้องกลับไปชนบท เพื่อทำมาหากินเท่าที่จะทำได้
ประการที่ 2 เรียนรู้ว่าบางชุมชน การป้องกันที่มีศักยภาพดีมีภูมิคุ้มกันดีมีการเรียนรู้ค้นความจริง เตรียมการสร้างความคุ้มกันเช่น ตำบลแม่เรียง นครศรีธรรม ผู้นำได้รางวัลแมกไซไซ
ประการที่ 3 เกิดวิกฤติคำพูดใหม่ทีเรียกว่า “ตาข่ายคุ้มครองทางสังคม” สร้างวิสาหกิจชุมชนรองรับลูกหลาน และเกิดจากภาครัฐ ตั้งกองทุนทางสังคม กองทุนต่าง ๆ เปิดโอกาสให้ชุมชนดูแลกันเอง
ประการที่ 4 เรียนรู้ยานขนานใหญ่ประชานิยม เกิดโครงการต่าง ๆ มากมาย กองทุนหมู่บ้าน 30 บาท พักหนี้เกษตรกร หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เน้นการเจริญทางเศรษฐกิจและทำให้เกิดอำนาจนิยมและคะแนนเสียงนิยมในท้องถิ่น
“ช่วงนี้ชุมชนเรียนรู้มากมาย ถูกถาโถมจากมาตรการทางประชานิยมทั้งบวกและลม ชุมชนที่มีศักยภาพดีก็นำเงินไปสร้างประโยชน์ที่ไม่มีความพร้อมก็ไปทำลายด้อยศักยภาพจากกระแสประชานิยมที่เกิดขึ้นไม่ได้แปลว่าประชานิยมไม่ได้เรียนรู้เรื่องอื่น กิจกรรมของรัฐมากมาย โลกาภิวัตน์ ชุมชนมีวิวัฒนาการ การพึ่งตัวเองมากขึ้น”
ประการที่ 5 ชุมชนเข้าสู่ยุคของการทำแผนชุมชนระดมความคิดออกมาเป็นแผนปฏิบัติ เป็นแผนทางสังคมวัฒนธรรม การจัดชุมชนที่เน้นการพึ่งพาตัวเองขยายวงออกไปจำนวนมาก จากจุดเริ่มต้นวิกฤติเศรษฐกิจ ขยายวงการจัดการชุมชนในรูปแบบต่างๆ รำทำแผนชุมชน การพัฒนาเกษตรธรรมชาติ และมีการเรียนรู้กันว่าการจัดการในเชิงการเมืองที่เรียกว่างการเมืองแบบสมานฉันท์ ในเชิงการเมืองที่เรียกว่าการเมืองแบบสมานฉันท์มากขึ้น เรียนรู้ว่า การเลือกตั้งแบบเดิมก่อให้เกิดความแตกแยก กลับไปสู่การพูดจาก หารือ อาศัยผู้อาวุโสผู้ตำตามธรรมชาติแม้แข่งขันถือเป็นมิตร
ประการที่ 6 การเรียนรู้ควบคู่การจัดการชุมชน คือการเรียนรู้เรื่องจิต หรือมนุษย์นิยมการพัฒนาที่มีคนเป็นหลัก แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 แม้ว่ารัฐบาลไม่ได้นำเอาแผนฯ 8 มาปฏิบัติเจาะจงเข้มข้น แต่ปรัชญาซึมซับไปสู่ชุมชนไม่น้อย ทำให้เกิดคำว่าพอเพียงได้รับความนิยม ซึ่งได้รับจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ประการที่ 7 การเรียนรู้ที่สำคัญสู่อนาคต มีจิตนาการ ซึ่งการเรียนรู้ที่สำคัญมาก การพัฒนาท้องถิ่นแบบบูรณการทุกฝ่ายประสานความร่วมมือกัน หลักการที่ปฏิบัติเอาพื้นที่เป็นตัวตั้งไม่ใช่มองทั้งประเทศ
นายไพบูลย์ กล่าวว่า หลักการข้อที่ 1 ต้องเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง และหลักการข้อที่ 2 คือการประสานร่วมมือกันทุกฝ่าย จั้งแต่ประชาชนองค์กรชุมชน อบต. และเทศบาล ข้าราชการส่วนภูมิภาค มีกลไกประสานความร่วมมือทุกฝ่าย น่าจะเป็นหลักการสำคัญในการพัฒนา มีเป้าหมายที่สำคัญ สังคมอยู่เย็นเป็นสุขเป็นเป้าหมายร่วมกันที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำออกมาเป็นเป้าหมายร่วมที่เรียกว่า สังคมท้องถิ่นดีงานอยู่เย็นเป็นสุข และยุทธศาสตร์ในการจัดการท้องถิ่น มี 3 ส่วน คือ 1. สังคมไม่ทอดทิ้งกัน 2. สังคมเข้มแข็ง และ 3. สังคมคุณธรรม
นอกจากนี้จิตนาการสู่อนาคต คือการจัดให้มีสภาที่ปรึกษาของท้องถิ่นที่ไม่มีอำนาจ แต่มีบทบาทในการคิดพิจารณาศึกษาติดตามให้ความคิดเห็นเพื่อประโยชน์ต่อท้องถิ่น ซึ่งมีคณะทำงาน ยกร่าง พ.ร.บ.ที่จะเสนอให้มีสภาที่ปรึกษาชุมชนท้องถิ่น แต่ชื่อยังไม่ชัดเจน เพราะว่าเป็นจินตนาการที่สำคัญช่วยสร้างความเข้มแข็งในระดับท้องถิ่น ถือเป็นฐานรากที่สำคัญช่วยสังคมโดยรวมมีความเข้มแข็ง
“สิ่งที่ผมคิดว่าจะต้องเร่งดำเนินการ คือการยกร่างกฎหมายในการจัดตั้งสภาผู้นำท้องถิ่นแม้จะไม่มีอำนาจ แต่เพื่อให้คำปรึกษากับการเมืองในระดับพื้นที่ในการสร้างการเมืองท้องถิ่นให้เข้มแข็ง” นายไพบูลย์ กล่าว
ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
22 ธ.ค. 49
อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/68735