ควรคุยโรดแมพเพื่อแก้วิกฤติ

ควรคุยโรดแมพเพื่อแก้วิกฤติ


(บทความลงในหนังสือกรุงเทพธุรกิจ  ฉบับวันศุกร์ที่  2  เมษายน  2553  หน้าที่ 2)

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย  จัดราชดำเนินเสวนา  ในหัวข้อ “เนื้อหาที่ควรคุยในวิกฤติความขัดแย้ง”  โดยนายไพบูลย์  วัฒนศิริธรรม  อดีตรองนายกรัฐมนตรี  กล่าวตอนหนึ่งว่าผู้ที่ถนัดกับการจัดการปัญหายากๆรู้ดีว่าวิกฤติเป็นโอกาสเช่นเดียวกับญี่ปุ่น เยอรมนี  ที่เผชิญกับวิกฤติสงครามโลกแต่พัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้ามาได้

สำหรับประเทศไทยได้เผชิญวิกฤติมาหลายครั้งเป็นวิกฤติที่ให้กำไรกับสังคมไทยการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับ นปช.  2 ครั้งที่ผ่านมาถือว่าเป็นมือใหม่พอใช้ได้  กระบวนการยังไม่ดี  ควรวางกติกาก่อนเจรจา  เช่น  ไม่ด่าว่ากัน  ไม่เอาเรื่องอดีตมาพูด  ไม่ค้นหาว่าใครผิดใครถูก  ตั้งประเด็นในการเจรจาโดยเริ่มจากเรื่องง่ายๆถ้ามีกระบวนการปรับทัศนคติที่ดีจะเอื้ออำนวยให้เจรจาประสบความสำเร็จ

สิ่งที่ควรพูดคุยกันในวิกฤติความขัดแย้ง คือ โรดแมพเพื่อแก้วิกฤติและใช้โอกาสของวิกฤติ  เป็นยุทธศาสตร์ 3 ด้านเพื่อ  1. แก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง  สร้างการเมืองแบบร่วมคิดร่วมทำการเจรจาเพื่อยุติสงครามต้องชนะด้วยกัน  ถ้าตั้งสติให้ดีคงไม่มีใครคิดว่าการที่เราชนะแล้วอีกฝ่ายแพ้เป็นเรื่องดี  ถ้าคิดอย่างนั้นเป็นเพียงความคิดครึ่งทาง  คิดสุดทางคือ  ต้องชนะด้วยกัน

จึงหวังว่าสิ่งที่จะพูดจากันต่อไปคือการหาข้อสรุปที่พอใจร่วมกันแม้ว่าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญก็ยังไม่สมบูรณ์เราต้องร่วมกันสร้างการเมืองประชาธิปไตยที่ประชาชนร่วมคิดร่วมทำจึงขอให้ใช้วิกฤติครั้งนี้เป็นโอกาสในการสร้างการเมืองที่ดี

ยุทธศาสตร์ที่ 2  คือ  การร่วมกันแก้ปัญหาเศรษฐกิจหนี้สินและความยากจนแบบบูรณาการ  ส่วนยุทธศาสตร์ที่ 3  คือ  แก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม  สร้างความเป็นมิตรไมตรีในสังคม

                “ขณะนี้หลายเวทีจัดสัมมนาหาทางออกให้ประเทศพูดกันมากว่ายุบหรือไม่ยุบสภาเปรียบเหมือนบ้านหลังใหญ่ที่อยู่มานาน  ปลวกกินจนชำรุดพี่น้อง  2  คนทะเลาะกันให้รื้อบ้าน  คนหนึ่งให้รื้อใน 15 วัน  อีกคนขอรื้อใน 9 เดือน  ทั้งที่การรื้อบ้านเป็นเรื่องของคนทั้งครอบครัว  จะรื้อหรือปรับปรุงสร้างใหม่เป็นประเด็นที่คนทั้งครอบครัวต้องช่วยกันคิด  เช่นเดียวกับการฟื้นฟูประเทศที่เป็นเรื่องของคนไทยทั้งหมดไม่ว่าไพรหรืออำมาตย์”

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/351023

<<< กลับ

มูลนิธิหัวใจอาสา(วัตถุประสงค์ของมูลนิธิ)

มูลนิธิหัวใจอาสา(วัตถุประสงค์ของมูลนิธิ)


  • จดทะเบียน เมื่อ 28 เมษายน 2551 ทะเบียนเลขที่ กท 1713
  • วัตถุประสงค์ของมูลนิธิ

1.  ให้คำปรึกษา จัดกระบวนการเรียนรู้ ส่งเสริม และหรือดำเนินการ เกี่ยวกับการจัดการเชิงระบบ และอย่างเป็นขบวนการ  ในงานพัฒนาสังคม  ที่รวมถึงการพัฒนางานอาสาสมัครการส่งเสริมการทำความดี  การสร้างเสริมสุขภาพ การพัฒนาชุมชนท้องถิ่น  การพัฒนาประชาสังคม และอื่นๆ

2.  ส่งเสริม สนับสนุน และหรือดำเนินการพัฒนาสังคม ร่วมกับองค์กรชุมชนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน ภาครัฐ และหรือ องค์กรต่างประเทศ

3.  ส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ด้วยความเป็นกลาง และไม่ให้การสนับสนุนด้านการเงินหรือทรัพย์สินแก่นักการเมืองหรือพรรคการเมืองใด

  • คณะกรรมการมูลนิธิ

1. นายไพบูลย์       วัฒนศิริธรรม              ประธานกรรมการ

2. นายกิตติวัฒน์    อุชุปาละนันท์              รองประธานกรรมการ

3. นางสาวจิริกา     นุตาลัย                     กรรมการ

4. นายสิน            สื่อสวน                     กรรมการ

5. นางสาวอุรุชา     ชาติกานนท์               กรรมการและเหรัญญิก

6. นางวิสุทธินี       แสงประดับ                กรรมการและเลขานุการ

  • โครงการสำคัญที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ

1. การสร้างตัวชี้วัดการพัฒนาแบบบูรณาการในระดับท้องถิ่น ( หรือ “ตัวชี้วัดความสุขชุมชน” / Community Wellbeing Indicators )

2. การร่วมพัฒนา “ธนาคารรักและแบ่งปัน” ( Care and Share Bank )

3. การร่วมสร้างและบริหาร “ศูนย์สันติสานเสวนา” ( Peacebuilding Dialogue Center )

พฤษภาคม 2553

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/361770

<<< กลับ

 

“วิกฤติ” คิดเชิงบวก (1)

“วิกฤติ” คิดเชิงบวก (1)


(บทสนทนากับ  อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ประธานมูลนิธิหัวใจอาสาและอดีตรองนายกรัฐมนตรี)

(ลงใน นสพ. ไทยโพสต์  6 มิถุนายน  2553 หน้าแทบลอยด์)

…………………………………..

“เราต้องวิจัยเชิงลึก เรื่องวิกฤติครั้งนี้ สาเหตุที่สลับซับซ้อน วิธีการที่จะสามารถคลี่คลายสาเหตุเหล่านั้น หรือว่าวิธีการที่จะทำให้เราหลุดจากพันธนาการของโครงสร้างองค์ประกอบหลายอย่างที่เมื่อรวมกันแล้วทำให้เราเกิดวิกฤติ เราจะไปจับที่จุดใดจุดหนึ่งจะเป็นการมองที่ตื้นเขินเกินไป เช่น ไปจับที่กลุ่มเสื้อแดง หรือไปเริ่มที่รัฐประหาร หรือกระทั่งย้อนหลังไปหลังพฤษภา 2535 มันก็ยังไม่ถูกต้องทีเดียว สิ่งที่เป็นพันธนาการสังคมไทยให้อยู่ในวังวนของปัญหาความขัดแย้ง ในบางระยะก็พัฒนาการมาเป็นความขัดแย้งรุนแรง เป็นสิ่งที่สะสมมาเนิ่นนาน ไม่ว่าจะเป็นระบบการเมือง ระบบราชการ ระบบของธุรกิจ ระบบการศึกษา วัฒนธรรม”

“เมื่อยังไม่ชัดเจนเรื่องการยุบสภาจึงเป็นประเด็นขัดแย้งอยู่ เหมือนกับเรายังมีเสี้ยนอยู่ในเนื้อ มันยังไม่ได้ถูกถอนออกไป มันอาจจะเป็นหนองขึ้นมาเมื่อไหร่ พุพองขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ หรือเป็นฝีอยู่ ซึ่งเราต้องเอาฝีนี้ออก เอาเสี้ยนนี้ออก ที่จริงไม่ใช่เสี้ยนหรอก เป็นตะปูด้วยซ้ำ มันคือตะปูที่ยังอยู่ในร่างกายเรา ฉะนั้นต้องเอาออก แต่วิธีเอาออกก็ไม่ใช่ว่าฝ่ายหนึ่งอยู่ดีๆ มาดึงไปโดยที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้รับรู้ด้วยหรือไม่ได้เห็นด้วย หรือไม่ก็มาตีให้มันหนักเข้าไปอีกให้มันเจ็บหนักไปอีก ต้องมาคุยกันประเด็นนี้ เพราะมันอยู่ในแผนปรองดองแห่งชาติครั้งแรก และก็ยังเป็นประเด็นอยู่ ยังมีคนสงสัยข้องใจ ยังมีคนถือเป็นประเด็น และก็อาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ ความขัดแย้งที่จะต่อเนื่องไปอีก”

(-ไพบูลย์  วัฒนศิริธรรม)

…………………………………..

     หากเทียบกับภาวะบ้านเมืองตลอดช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา วันนี้หลายคนคิดว่าวิกฤติได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทว่านี่คือภาวะที่ใบไม้นิ่งเพียงชั่วขณะ แต่ความขัดแย้งที่ถือว่ารุนแรงที่สุดในสังคมไทยยังคงอยู่ รอเพียงวันปะทุอีกครั้งหากเราไม่เรียนรู้และไม่ทำอะไรเลย

   ในประเทศไทยขณะนี้ความขัดแย้งทางความคิดลงลึกแทบจะทุกหมู่บ้าน ในชุมชนมีทั้งเหลืองและแดง  มองแทบไม่เห็นหนทางแห่งความสมานฉันท์ แต่ อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ซึ่งชีวิตทั้งก่อนและหลังตำแหน่งอดีตรองนายกฯ-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ คลุกคลีกับงานพัฒนาชนบทและสังคมมาแทบทั้งชีวิต ชาวบ้านรู้จัก อ.ไพบูลย์ ดีพอๆ กับที่อาจารย์รู้จัก และเห็นวิวัฒนาการของประชาธิปไตยฐานรากว่าเข้มแข็งพอที่จะทำให้เชื่อมั่นได้ว่าจะพาให้ชุมชนก้าวผ่านความขัดแย้งหนนี้ไปได้

 

สร้างคุณค่า-จินตนาการร่วมกัน


ก่อนเกิดเหตุการณ์
 19 พ.ค. ไม่กี่สัปดาห์ แทบลอยด์ได้สัมภาษณ์ พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ และพูดถึงความพยายามที่จะเปิดวงสันติสานเสวนาของทุกฝ่ายของความขัดแย้ง โดยวางตัวอาจารย์เป็นคนกลาง เพื่อสกัดกั้นความรุนแรงที่เห็นอยู่ตรงหน้า แต่แล้วสิ่งนั้นก็ไม่มีโอกาสเกิดขึ้น

     สำหรับความรุนแรงครั้งล่าสุด อาจารย์ไพบูลย์เรียกว่าวิกฤติ ‘เมษา-พฤษภา มหาวินาศ (2553)’ และได้เขียนบันทึกแนวทางการฟื้นฟูและขับเคลื่อนประเทศไทยนับจากนี้

 

“ผมเสนอว่ามีอยู่ 6 ประเด็นใหญ่ที่ต้องจัดการ หนึ่งก็คือการเยียวยาที่ดี คำว่าดีนี่สำคัญนะ ดีหมายถึงว่าเหมาะสม เท่าเทียม มีประสิทธิภาพ สองก็คือการให้ความยุติธรรมที่ดี ก็คือความเป็นอิสระ ความโปร่งใส สามคือการค้นหาความจริง ก็ต้องค้นหาทั้งระดับต้นก็คืออะไรเกิดขึ้นจริงๆ และระดับลึก ซึ่งอันนี้ต้องใช้เวลา สี่คือการฟื้นฟูทั้งร่างกาย กายภาพ กิจการธุรกิจ และลึกลงไปถึงระดับจิตใจ ระดับบรรยากาศในสังคม อย่างหลังนี่จะยากกว่าส่วนแรก ข้อห้าคือการปฏิรูป ซึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่เลย และหลายฝ่ายกำลังคิดกำลังพยายามทำ แต่ผมแถมข้อหกก็คือว่ารัฐบาลมีแผนปรองดองแห่งชาติ ห้าข้อแรกถือเป็นเรื่องของสังคม ซึ่งรวมรัฐบาล แต่ไม่ใช่ว่าเป็นของรัฐบาล และไม่ใช่อยู่ภายใต้รัฐบาล เป็นเรื่องของสังคมที่จะดูแลว่าการเยียวยานั้นดี ทั่วถึง เหมาะสม ดูแลว่าการให้ความเป็นธรรมนั้นทำได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง เท่าเทียม เป็นธรรม ดูแลว่าการค้นหาความจริงก็ทำได้อย่างเป็นอิสระ โปร่งใส และก็ได้ความจริงที่คนยอมรับได้ ดูแลว่าการฟื้นฟูต่างๆ สังคมก็ต้องมาช่วยกันทำ มาทำกันอย่างกว้างขวาง ทำให้ถ้วนทั่ว และดูแลว่าเรื่องการปฏิรูปก็ทำอย่างลึกซึ้งถ้วนทั่วเช่นเดียวกัน”

 

ความจริงระดับต้นรัฐบาลต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการ  แต่ความจริงระดับ ‘ลึก’ คือสิ่งที่คนไทยต้องเรียนรู้กันเสียที

 

“ผมเห็นว่าควรจะมีคณะบุคคลมาศึกษาวิจัยเชิงลึก เรื่องวิกฤติครั้งนี้ สาเหตุที่สลับซับซ้อน วิธีการที่จะสามารถคลี่คลายสาเหตุเหล่านั้น หรือว่าวิธีการที่จะทำให้เราหลุดจากพันธนาการของโครงสร้างองค์ประกอบหลายอย่าง ที่เมื่อรวมกันแล้วทำให้เราเกิดวิกฤติ เราจะไปจับที่จุดใดจุดหนึ่งจะเป็นการมองที่ตื้นเขินเกินไป เช่น ไปจับที่กลุ่มเสื้อแดง หรือไปเริ่มที่รัฐประหาร หรือกระทั่งย้อนหลังไปหลังพฤษภา 2535 มันก็ยังไม่ถูกต้องทีเดียว สิ่งที่เป็นพันธนาการสังคมไทยให้อยู่ในวังวนของปัญหาความขัดแย้ง ในบางระยะก็พัฒนาการมาเป็นความขัดแย้งรุนแรง เป็นสิ่งที่สะสมมาเนิ่นนาน ไม่ว่าจะเป็นระบบการเมือง ระบบราชการ ระบบของธุรกิจ ระบบการศึกษา วัฒนธรรม เช่น ค่านิยมต่างๆ อุปถัมภ์นิยม แม้กระทั่งศาสนา ธรรมะของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นสิ่งที่ดีเลิศประเสริฐยิ่ง แต่ว่าประชาชนคนไทยอาจจะไม่ได้ปฏิบัติตามธรรมะเหล่านั้น หรือทำในทางตรงกันข้าม หรือวัฒนธรรมที่ดีของเราก็ถูกกัดกร่อน มีวัฒนธรรมใหม่ๆ ที่ไม่ดีเข้ามา หลายสิ่งหลายอย่างเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงผสมผสาน และกลายเป็นโครงสร้าง กลายเป็นกลไก กลายเป็นช่องทางต่างๆ ที่นำไปสู่ปัญหาที่รุมเร้าเข้ามา การจะคลี่คลายสิ่งเหล่านี้ก็ต้องคิดเชิงยุทธศาสตร์ ว่าจะมียุทธศาสตร์หลักๆ อะไรบ้าง คงไม่ใช่การแก้ปัญหาเป็นรายข้อ คำนึงถึงปัญหา สาเหตุของปัญหา แต่ตอนจะแก้ต้องคิดเชิงยุทธศาสตร์ และก็ดำเนินการ ซึ่งดีที่สุดก็ต้องมีการรวมพลังสร้างสรรค์กันทั้งสังคม ทุกๆ ฝ่ายร่วมกัน สร้างวิสัยทัศน์หรือเป้าหมายใหญ่ร่วมกัน สร้างจินตนาการร่วมกัน สร้างคุณค่าร่วมกัน และก็ช่วยกันทำหลายๆ อย่าง ที่จะนำไปสู่วิสัยทัศน์หรือว่าเป้าหมาย จินตนาการใหญ่”

 

“ซึ่งถ้าเราจะทำก็คือว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ วิกฤติครั้งนี้ต้องถือว่าใหญ่มาก ใหญ่ที่สุดในช่วงเวลาอันยาวนาน ทำให้เกิดความแตกแยกแตกร้าว ร้าวฉาน โกรธเกลียดเคียดแค้นชิงชังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ถ้าเราจะคิดเชิงบวก ซึ่งเราควรจะคิดเชิงบวก คิดเชิงอนาคต คิดที่จะมุ่งไปข้างหน้า ไม่มาเศร้าโศกเสียใจหรือว่าเคียดแค้นชิงชังกับเรื่องที่ผ่านมาแล้ว คิดไปข้างหน้า คิดถึงอนาคตที่ดี จินตนาการที่เรามีร่วมกัน ช่วยกันคิดและช่วยกันทำ ก็จะเป็นโอกาสครั้งสำคัญ คือใช้วิกฤติเป็นตัวกระตุ้น ผมว่าไม่มีครั้งใดหรอกที่สังคมไทยเหมือนกับถูกเขย่าอย่างแรง เป็นตัวกระตุ้นที่เราสามารถใช้พลังสร้างสรรค์ที่เรามีอยู่ ใช้ความดีที่เราอยู่ ใช้ความสามารถที่เรามีอยู่ ใช้พละกำลังที่เรามีอยู่ ร่วมแรงร่วมใจกันทำ ผมเชื่อว่าเราทำได้”
ถือว่าความขัดแย้งหนนี้เขย่าทุกชนชั้นในสังคมไทย

 

“เขย่าแน่ๆ และก็เขย่าอย่างมีนัยสำคัญ ผมเพิ่งฟังคนซึ่งอยู่ในวงการธุรกิจ เป็นนักบริหารระดับสูง ซึ่งชีวิตเขากับชีวิตชาวบ้านมันคนละแบบเลย เขาก็มาพูดทำนองว่าเอ๊ะสังคมไทยต้องเปลี่ยนแปลง ความเหลื่อมล้ำของผู้คน โอกาสที่ไม่ทัดเทียม ต้องจัดกันใหม่ ซึ่งของอย่างนี้เมื่อก่อนเราจะไม่ค่อยได้ยิน คนจะไม่รู้สึกมาก และคนหลายคน นักบริหารนักธุรกิจเขาเป็นคนฐานะดี มีบ้านใหญ่โต มีเงินทองมากมาย แต่พอเกิดเหตุอย่างนี้ทำให้เขาคิด ซึ่งเขาอาจจะคิดอยู่บ้างแล้ว แต่ครั้งนี้มันเขย่าจนเขาคิดจริงจังขึ้น และเขาคิดเชิงบวกด้วยนะ เขาไม่ได้คิดไปโกรธไปแค้นไปรังเกียจใครด้วย เราต้องปรับปรุงสังคมเราอย่างนี้ดี เพราะฉะนั้นถ้าเราใช้โอกาสนี้ที่จะรวมพลังสร้างสรรค์ของคนทุกกลุ่มทุกหมู่เหล่า ทุกวงการทุกอาชีพ ทุกชั้น และทุกพื้นที่ เวลาทำงานเรื่องสังคมต้องคิดเชิงพื้นที่ด้วย คือไม่ใช่คิดแต่ที่กรุงเทพฯ ต้องคิดว่าในหมู่บ้านในตำบล ในชุมชนต่างๆ เขามีผู้คนอยู่ ซึ่งเขาเป็นเจ้าของพื้นที่ และเป็นเจ้าของเรื่อง ในพื้นที่ของเขา เขาควรจะมีบทบาทสำคัญในการจัดการเรื่องของเขา พื้นที่ของเขา โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีราชการส่วนภูมิภาค มีหน่วยงานของรัฐ ให้โอกาสเขาเป็นตัวของเขาเอง ให้โอกาสเขาที่จะเข้าถึงทรัพยากร เข้าถึงเงินทุน เข้าถึงงบประมาณได้ตามสมควร แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ควรจะมีบทบาทในการที่จะร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อให้ได้มาซึ่งนโยบายของรัฐที่ดี เพราะนโยบายของรัฐที่ดีควรจะมาจากการมีส่วนร่วมของประชาชน การมีส่วนร่วมมาจากไหน ก็มาจากประชาชนทุกพื้นที่ ไม่ใช่เราบอกว่า โอ้ย เราเชิญมาหมดแล้วทั้งนักธุรกิจ นักวิชาการ นักการศาสนา แม้กระทั่งผู้นำชุมชน แต่ว่าเชิญมากรุงเทพฯ หมด ไม่พอ ต้องมีการมีส่วนร่วมของคนทุกพื้นที่ ทุกกลุ่ม ทุกวงการ และก็ทำไปเรื่อยๆ ทำอย่างต่อเนื่อง”

“เมื่อวานผมไป ต.คลองเขิน จ.สมุทรสงคราม เป็นชุมชนที่ดีมาก ผมก็เพิ่งทราบว่า จ.สมุทรสงคราม เขาได้รับการจัดอันดับอาณาเขตที่น่าอยู่เป็นที่ 3 ในโลก และตำบลคลองเขินที่เราไปเป็นตำบลดีเด่นเป็นที่ 1 ของจังหวัด รวมทั้งเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เรื่องอยู่เย็นเป็นสุข ประชาชนเขามีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูแลตัวเองได้ มีผู้นำที่หลากหลาย ที่น่าสนใจคือเขามีสภาองค์กรชุมชน ซึ่งจัดตั้งตาม พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชนที่เกิดขึ้นในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ผมเป็นคนเสนอ ปรากฏว่ากรรมการสภาองค์กรชุมชน หรือสมาชิกสภาองค์กรชุมชน ที่กฎหมายเขาจะบอกว่าให้มาจากอะไรบ้าง ในกว่า 30 คนนี่ ผู้หญิงกว่า 20 คน และประธานก็ผู้หญิง สมาชิกหรือกรรมการผู้หญิงก็ 2 ใน 3 ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของชุมชนที่เข้มแข็ง อาจจะไม่ใช่ว่าเข้มแข็งที่สุดหรอก แต่ว่าเข้มแข็งพอสมควร อย่างน้อยเขาก็มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข อาจจะมากกว่าคนในกรุงเทพฯ ด้วย”

 

แต่ความขัดแย้งที่ลงลึกในทุกชุมชนจะเป็นอุปสรรคของการมองเป้าหมายใหญ่ร่วมกัน

     “อย่างที่ตำบลคลองเขินดูแล้วไม่มีความขัดแย้ง ที่จริงแล้วในระดับชุมชน ถ้าเขาได้พูดได้คุยกัน เขาไม่ได้มีความขัดแย้งรุนแรง ชุมชนที่ก้าวหน้าสามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ และเป็นประชาธิปไตยฐานรากที่สำคัญ บางแห่งเขาเลือกผู้นำด้วยการหาความเห็นร่วม เขาปรึกษาหารือกัน พูดคุยกัน อาจจะมีผู้ใหญ่เป็นแกน และก็ตกลงกันว่า เออคนนี้ควรจะเป็นนายก อบต. คนนี้ควรจะเป็นกำนัน เวลาไปลงคะแนนมันก็เป็นไปตามนั้น ปรึกษาหารือร่วมกัน คุยกัน และก็ไม่รู้สึกว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม เวลาแข่งขันก็เป็นมิตร และคนที่ไม่ได้ก็ยังมาช่วยทำงาน มี อาจจะไม่มากแต่มี และก็เป็นตัวอย่างที่ดี อันนี้ชี้ให้เห็นว่าเรามีศักยภาพอยู่แล้วที่จะสร้างท้องถิ่นเข้มแข็ง ชุมชนเข้มแข็ง ชุมชนเป็นสุข ชุมชนประชาธิปไตย การเมืองภาคพลเมืองที่ดีมันมีตัวอย่างที่มีจริง เรามีศักยภาพที่จะทำอย่างนั้นได้ และนี่แหละจะเป็นส่วนสำคัญของการปฏิรูปการเมือง เพราะการปฏิรูปการเมืองควรจะต้องปฏิรูปโดยให้ประชาชนมีบทบาทสำคัญตั้งแต่ระดับฐานรากเลย และก็ประชาชนมีส่วนสำคัญในการจัดการดูแลตนเอง นี่คือการเมืองภาคพลเมือง การเมืองไม่ได้แปลว่ามาลงคะแนนเลือกตั้ง การเมืองคือการจัดการสังคม แต่สังคมเราไม่ได้มีแต่ระดับประเทศอย่างเดียว หรือมีที่กรุงเทพฯ เรามีสังคมเล็กสังคมน้อยเยอะไปหมด ก็ต้องให้ประชาชนเขามีโอกาสจัดการ จัดการเรื่องราวของเขามากเท่าไหร่ ก็ถือว่าเป็นการเมืองภาคพลเมืองที่ดีเท่านั้น”

 

หลังรัฐธรรมนูญ 2540 การเมืองภาคพลเมืองจะเข้มแข็งขึ้น แต่ก็ยังไม่หลุดพ้นวงจรอุปถัมภ์ของนักการเมือง

 

“คนที่เป็นนักการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองจากส่วนกลาง นักการเมืองระดับชาติ ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเมืองภาคพลเมืองไปได้ช้า เพราะนักการเมืองจำนวนมากส่วนใหญ่อาจจะยังมองการเมืองเป็นเรื่องอำนาจ เรื่องประโยชน์ เรื่องพวกพ้อง ฉะนั้น เป้าหมายไม่ใช่ให้ประชาชนมีบทบาทสำคัญ ต้องการเสียงจากประชาชนด้วยการมีอะไรไปให้มากกว่าที่ว่าให้ประชาชนเขาได้คิดเองทำเอง เขาทำเรื่องของเขา มีแต่ไปถามว่าคุณอยากได้อะไร ผมจะไปหาให้ ประชาชนเนื่องจากอยู่ในระบบอุปถัมภ์นิยมมานานก็อยากได้ เป็นนักการเมือง เออช่วยหน่อยสิ ช่วยงานศพ งานแต่งงาน ฝากลูกฝากหลาน หรือช่วยเอางบประมาณมา มันก็เลยกลายเป็นทั้งประชาชน ทั้งนักการเมือง ก็ทำให้เกิดวงจรอุบาทว์ นักการเมืองอุปถัมภ์ประชาชน ประชาชนก็เลยคาดหวังให้นักการเมืองอุปถัมภ์ วนไปวนมา แทนที่ประชาชนจะมีอิสระเป็นตัวของตัวเอง นักการเมืองคือผู้รับใช้ หาคนที่เหมาะสม คุณไปทำหน้าที่ให้ดี ทำหน้าที่ไม่ดีเราก็ไม่เลือกคุณอีก อะไรอย่างนี้เป็นต้น ต้องให้ประชาชนอยู่เหนือนักการเมือง ไม่ใช่นักการเมืองอยู่เหนือประชาชน นี่แหละก็เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการเมือง ถ้าเราพูดกันถึงเรื่องปฏิรูปประเทศไทย ก็ต้องปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปวัฒนธรรม ปฏิรูปเศรษฐกิจด้วย เช่น ให้เป็นเศรษฐกิจพอเพียงที่เหมาะสม เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่แปลว่าไม่ค้าขายนะ เศรษฐกิจพอเพียงคือเศรษฐกิจที่ได้สมดุลในความพอดี เศรษฐกิจที่เป็นอยู่ พอเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์เป็นการฟ้องว่าเศรษฐกิจที่ดำเนินไปเสียดุล เศรษฐกิจที่ถือว่าสมัยใหม่ ทุนนิยมเสรี แข่งขันเสรี มันเกินดุล นักธุรกิจก็คิดแต่เรื่องกอบโกยกำไร เห็นแก่ตัว ธุรกิจก็ต้องการเติบโต ไม่คำนึงถึงเรื่องการแข่งขันที่เป็นธรรม เรื่องการดูแลทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ก็เป็นเศรษฐกิจที่ไม่สมดุล ไม่พอดี ตอนนี้จึงเกิดธุรกิจที่เขาเรียกว่า ธุรกิจเพื่อสังคม social enterprise เป็นธุรกิจยุคใหม่ ซึ่งในอังกฤษมีเป็นหลายหมื่นเลยนะที่เขาตั้งขึ้นมา หรือว่ากำหนดวัตถุประสงค์เลยว่าต้องการให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม แต่ดำเนินงานเยี่ยงธุรกิจ มีผลกำไร แต่ผลกำไรไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายคือให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ผลกำไรเป็นวิธีการที่ทำให้สามารถดำเนินงานไปได้โดยไม่ติดขัด มันจะต่างกัน ธุรกิจโดยทั่วไป กำไรคือเป้าหมาย ประโยชน์ส่วนตัวคือเป้าหมาย ส่วนประโยชน์ต่อสังคมกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ หรือว่าเขามีแฟชั่นให้ทำ หรือว่าทำเท่าที่จำเป็น มันจะต่างกัน อันนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ว่าการมีระบบธุรกิจที่ดีเป็นไปได้ เพราะกำลังเกิด ประเทศไทยก็กำลังทำอยู่นะ รัฐบาลก็ประกาศเป็นนโยบาย มีคณะกรรมการที่จะส่งเสริมธุรกิจเพื่อสังคมหรือกิจการเพื่อสังคม รวมถึงส่งเสริมพวกเอ็นจีโอ องค์กรสาธารณประโยชน์ นอกเหนือจากธุรกิจให้สามารถที่จะทำประโยชน์ให้สังคมโดยพึ่งตนเองได้ทางการเงิน ฉะนั้น เศรษฐกิจเองก็ต้องการการปฏิรูป นอกเหนือจากการเมือง การศึกษา วัฒนธรรม ศาสนา ศาสนาหลักของเราคือศาสนาพุทธ ก็ต้องการการปฏิรูป พระท่านก็พูดเอง พระท่านก็บอกอยากปฏิรูประบบของพุทธศาสนา ตัวพุทธศาสนาดีอยู่แล้ว แต่วิธีที่เราจัดการในเรื่องการศาสนาสั่งสมปัญหามาเนิ่นนาน”

 

นั่นคือทุกองคาพยพในสังคมไทยเปื่อยมานานแล้ว พอเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่จะบีบให้แต่ละภาคส่วนต้องปฏิรูปตัวเอง

 

“ก็เป็นโอกาสดี ถามว่าแล้วใครจะมาคิดเรื่องยุทธศาสตร์ ผมคิดว่าน่าจะมีคณะออกมานะ ในบางประเทศเขาตั้งคณะกรรมาธิการของรัฐสภา ก็เป็นวิธีหนึ่ง แต่สำหรับประเทศไทย ผมคิดว่าน่าจะเป็นการร่วมกันหลายฝ่าย เป็นคณะที่มาจากหลากหลาย โดยเฉพาะมาจากภาคประชาชน ภาคประชาชนต้องรวมทุกฝ่าย ยกเว้นรัฐบาลนะ อะไรที่ไม่ใช่รัฐบาลเรียกว่าภาคประชาชน แต่ในการทำงานก็ให้ภาครัฐบาลเข้าไปร่วมด้วย คือถ้าเราบอกว่าเป็นเรื่องของหลายๆ ฝ่ายในสังคมเข้ามาร่วมกัน ก็คือรวมทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายประชาชน นักวิชาการ นักธุรกิจ นักการศาสนา ข้าราชการ นักการเมือง รวมเข้ามาหมดได้ แต่คนที่จะเป็นแกนในเรื่องนี้ ผมคิดว่าความเป็นไปได้อย่างหนึ่งคือ ผู้ที่อยู่ในวงการมหาวิทยาลัย เพราะมหาวิทยาลัยเป็นแหล่งเรียนรู้ แหล่งสร้างภูมิปัญญา ชื่อก็บอกอยู่แล้วมหาวิทยาลัย ที่แห่งวิทยาก็คือความรู้ และควรจะเป็นความรู้ที่ลึกซึ้ง กว้างขวาง มหาวิทยาลัยทั่วประเทศเรามีเกือบ 200 แห่ง เฉพาะมหาวิทยาลัยหลักๆ ที่เป็นมหาวิทยาลัยแห่งรัฐ ไม่ได้แปลงมาจากราชภัฏหรือราชมงคลก็มีเกือบร้อย ถ้าเราจะรวมตัวกันและก็เลือกคนที่เหมาะสม และสมัครใจมาตั้งต้นและก็ชวนคนอื่นๆ อีก ซึ่งมันจัดได้หลายแบบ อาจจะต้องมีทีมที่ไม่ใหญ่นักเป็นคนทำการศึกษาวิจัยคล้ายๆ คณะกรรมาธิการ และก็มีฝ่ายเทคนิค ฝ่ายเลขาฯ เล็กลงไปอีก หรือคณะทำงานที่แยกกันไปทำในเรื่องต่างๆ แล้วเอามาบูรณาการ มีเวทีที่ใหญ่ขึ้นเพื่อที่จะทดสอบความคิดเห็น ระดมความเห็นร่วมกัน เพื่อให้เกิดความเห็นร่วมกัน ให้เป็นเวทีที่ใหญ่ขึ้น ในที่สุดให้เป็นความเห็นร่วมกันของคนทั้งประเทศ คล้ายๆ กับที่เราทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะหลังๆ ตั้งแต่แผนฯ 8 เราใช้กระบวนการมีส่วนร่วมสูง ทำกันอาจจะประมาณ 1 ปีเต็มๆ รัฐธรรมนูญปี 2540 เกือบ 1 ปีเต็มที่มีส่วนร่วมสูงมาก แต่สำหรับเรื่องการปฏิรูปประเทศไทยต้องมีทีมศึกษาวิจัยเพื่อจะได้ลงลึก เพราะเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก แต่ถ้าทำเป็นขั้นเป็นตอน เป็นกระบวนการ ก็คิดว่าทำได้และก็น่าทำ”

 

ปัญหาคือเมื่อจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสักชุด ‘คนกลาง’ คือเงื่อนไขสำคัญ ซึ่งต้องเป็นที่ยอมรับของสังคม แต่บุคลากรในอุดมศึกษา อธิการบดีหลายคน ก็ได้เลือกฝ่ายเลือกข้างกันไปแล้ว

 

“นั่นเป็นเรื่องที่เขาเข้าไปสู่ความขัดแย้ง แต่นี่เรากำลังจะทำเรื่องสร้างสรรค์ คนที่เกี่ยวข้องที่มาจัดการก็ต้องเลือกคนที่เหมาะสม ส่วนจะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม จะมีเสียงสะท้อนอย่างไร ถ้ามีปัญหาเราก็แก้ไขได้ เพราะเรื่องที่ทำไม่ใช่อยู่ที่ว่าใครมาทำ แต่อยู่ที่เนื้อหาออกมาอย่างไร และคนในวงกว้างก็เห็นชอบเรื่องนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้เห็นชอบกันง่ายๆ นัก แต่ถ้าได้ศึกษาได้วิจัยให้ถ่องแท้ ให้กว้างขวางลึกซึ้ง เอามาตีแผ่พิจารณากันในที่สาธารณะซึ่งทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ค่อยๆ ขัด ค่อยๆ เกลา ค่อยๆ ตะล่อมเข้ามา จนกระทั่งเป็นเรื่องที่เห็นชอบร่วมกันได้ และก็มาช่วยกันทำ ช่วยกันคิดแล้วก็มาช่วยกันทำ คนที่ทำไม่ใช่รัฐบาลทำ รัฐบาลต้องทำบางส่วน รัฐบาลก็คือฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติก็ต้องทำบางส่วน ฝ่ายตุลาการต้องทำบางส่วน ฝ่ายนักธุรกิจ ฝ่ายประชาชน ฝ่ายวิชาการก็ต้องทำบางส่วน ทุกฝ่ายต้องไปทำ ไปทำแล้วก็มาดูด้วยกัน มีการติดตามประเมินผล เราได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่ทำ เราก็มาแก้ไขปรับปรุงพัฒนาต่อไป เรื่องปฏิรูปประเทศไทยไม่ใช่เป็นเรื่องแยกฝ่าย ไม่ใช่ไปหาความผิด ไม่ได้มาดูว่าใครผิดใครถูก ใครดีใครไม่ดี ไม่ใช่ เป็นการศึกษาวิเคราะห์เชิงลึกอย่างสร้างสรรค์ และทุกฝ่ายมาร่วมได้หมด ไม่มีสีไม่มีพวก แต่ถ้าใครรู้สึกว่ายังไม่มีส่วนร่วมและอยากจะเข้ามาร่วมก็เข้ามาได้ตลอดเวลา ทำอย่างนี้ไป เรื่องปฏิรูปไม่ใช่จะทำกันได้ปีสองปี มันต้องทำกันเป็นสิบปียี่สิบปี เพราะว่าเราพยายามพัฒนาการเมืองมาตั้ง 70 กว่าปีก็ยังพัฒนาไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่”

 

ตั้งข้อสังเกตว่าสังคมไทยมักไม่เรียนรู้จากความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้น ทั้งเหตุการณ์เดือนตุลา มาถึงพฤษภาทมิฬ เมื่อเหตุการณ์ยุติเราก็ทำเป็นเหมือนฝังกลบสิ่งที่เกิดขึ้น และบอกตัวเองว่านี่จะเป็นความรุนแรงครั้งสุดท้ายของเมืองไทยแต่มันไม่ใช่

 

“ทุกอย่างมีทั้งแง่บวกแง่ลบ เป็นเหรียญสองด้านเสมอ เดือนพฤษภาเป็นวิกฤติที่จบเร็ว และก็ดูเหมือนจะราบเรียบ ก็เลยไม่ได้กระตุ้นคนเท่าที่ควร ให้คิดอะไรที่ลึกซึ้งไปกว่าว่า เอ้า รัฐประหารจบไปแล้ว มีรัฐบาลพลเรือนเข้ามาแล้ว เราเป็นประชาธิปไตยเต็มใบแล้ว และเราบอกว่าเดินของเราต่อไป ในแง่หนึ่งมันก็เป็นอย่างนั้น แต่สำหรับครั้งนี้รุนแรงและกระตุ้นคนมาก กระตุกอย่างแรง ก็น่าจะใช้เป็นโอกาสที่จะระดมพลังสร้างสรรค์ครั้งใหญ่ของคนไทยทั้งสังคม”

 

ขอแย้งว่านี่คือการมองวิกฤติแบบเชิงบวกในสายตาอาจารย์ว่าทุกชนชั้นจะต้องปรับตัวเอง แต่จะมั่นใจได้แค่ไหนว่าชนชั้นที่กุมโครงสร้างอำนาจของสังคมไทยอยู่จะยอมลดทอนลง ปฏิกิริยาในระยะนี้อาจจะเป็นเพียงการจำยอมไหลไปตามกระแสสังคมเท่านั้น

 

“คือวิธีคิดของผมเป็นวิธีคิดเชิงบวกและเชิงรุก จะถือว่าเป็นทัศนคติส่วนตัวก็ได้ ตลอดชีวิตผมก็ทำงานมาในลักษณะนี้ คิดเชิงบวกคิดเชิงรุก คือคิดไปข้างหน้า อย่างน้อยมีคนหลายกลุ่มหลายฝ่ายหลายคนมาช่วยกันทำเรื่องที่ดีๆ เรื่องที่สร้างสรรค์ ทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว และก็ทำให้กันให้กว้างขวางที่สุด คลุมพื้นที่ให้มากที่สุด คลุมประเด็นให้มากที่สุด ผมก็เชื่อว่าสิ่งที่ดีสิ่งที่สร้างสรรค์เหล่านี้มีอานุภาพในตัวเอง ที่จะค่อยๆ ทั้งแทรกซึมทั้งกลบและก็ทั้งข่มสิ่งที่ไม่ดีให้อ่อนกำลังลงหรือน้อยลงไปเอง เหมือนกับว่าในบริษัทเรามีคนอยู่ร้อยคน ดีครึ่งไม่ดีครึ่ง ถ้าเราไปนั่งด่าแต่คนไม่ดี ชวนคนดีมาด่าคนไม่ดี คนไม่ดีก็โกรธแค้น มาด่ากลับ คนที่เคยดีเลยกลายเป็นไม่ดีไปด้วย อย่างน้อยไปด่าเขาก็ไม่ดีแล้ว แต่ถ้าส่งเสริมให้คนดีก็ทำดีให้มากขึ้น ให้เห็นผลมากขึ้น และก็เอื้อเฟื้อเจือจุนไปถึงคนที่ไม่ดีด้วย และก็ชวนคนที่ไม่ดีมาร่วมกันทำสิ่งที่ดีๆ อิทธิพลนี้จะค่อยๆ ขยายออกไปๆ ฉะนั้นอาณาบริเวณของความดีของคนที่ทำสิ่งที่ดี ของผลลัพธ์ที่ดีก็มากขึ้นๆ คนที่สุดโต่งคนที่คิดทางลบ คิดทางร้ายก็จะค่อยๆ หยุดลง จนกระทั่งเหลือเพียงนิดเดียว ไม่มีกำลังมากพอที่จะมาทำลายส่วนใหญ่ได้ อาจจะไม่หมดร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะทำให้คนทั้งสังคมดีหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ หันมาร่วมด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าถ้าความดีหรือการทำสิ่งที่ดีที่สร้างสรรค์ มันสร้างผลดีด้วย ทำให้สังคมเข้มแข็งขึ้น การเมืองดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้นแบบสมดุล การศึกษาดีขึ้น ชุมชนเข้มแข็ง ประชาธิปไตยฐานราก ประชาธิปไตยที่เป็นการเมืองภาคพลเมืองเข้มแข็งขึ้น สิ่งเหลานี้จะค่อยๆ เป็นพลังที่หนุนเสริมซึ่งกันและกัน และทำให้ส่วนที่อ่อนด้อย ส่วนที่สุดโต่ง ส่วนที่ไม่ดีหรือเลวร้าย ค่อยๆ อ่อนกำลังไป”

 

กระบวนการ-ทัศนคติ-สาระ

 

อาจารย์ไพบูลย์ให้ความเห็นว่าในแผนปรองดองแห่งชาติของนายกฯ อภิสิทธิ์ต้องดำเนินต่อไป และให้ความสำคัญกับ กระบวนการ ทัศนคติ และ สาระ

 

“ทั้งสามเรื่องไปด้วยกัน การแก้ปัญหายากๆ การทำเรื่องที่ใหญ่ เรื่องซับซ้อน และยิ่งเป็นเรื่องความขัดแย้ง ยิ่งต้องการกระบวนการที่ดี เหมือนอย่างการวางแผนยุทธศาสตร์ของธุรกิจต่างๆ เขาต้องมีกระบวนการนะ ไม่ใช่จู่ๆ ผู้จัดการใหญ่ก็มากำหนดวิสัยทัศน์ เขาต้องใช้กระบวนการที่มีส่วนร่วม บริษัทใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นไอบีเอ็ม เชลล์ เอสโซ่ ธนาคารยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย เขาต้องมีกระบวนการในการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน สร้างยุทธศาสตร์ร่วมกัน นี่คือกระบวนการ ไม่ใช่ว่าเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ หรือวิสัยทัศน์จะกำหนดกันได้ง่ายๆ อาจจะดีแต่ว่าถ้าไม่มีการมีส่วนร่วมสูง คนจะไม่รู้สึกเป็นเจ้าของ ความผูกพันก็จะน้อย แต่ถ้าได้มากำหนดร่วมกันคนจะรู้สึกเป็นเจ้าของ พอเป็นเจ้าของก็จะมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ และหวงแหนถ้าเผื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้นกระบวนการที่ดีก็จะนำไปสู่ทัศนคติที่ดี จะรู้สึกว่าเออเราก็เป็นเจ้าของร่วมกันนะ เราเป็นเพื่อนกันนะ บรรยากาศในที่ทำงานก็จะดี การที่คิดจะทำอะไรที่เป็นเนื้องานมันก็จะดีด้วย ตัวสาระมันจะดี”

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/365358

<<< กลับ

“วิกฤติ” คิดเชิงบวก (2)

“วิกฤติ” คิดเชิงบวก (2)


“ถ้าเจาะจงมาที่การแก้ปัญหาความขัดแย้งยิ่งต้องการกระบวนการ เพราะถ้าขาดกระบวนการแล้วเรามาพูดกันเลยว่าคุณจะเอายังไง ผมจะเอายังไง สิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งเราเห็นจากจอทีวีก็คือข้างหนึ่งก็มาชี้หน้าด่าอีกข้างหนึ่ง กล่าวหาอีกข้างหนึ่ง คือเรียกร้องอีกข้างหนึ่งว่าคุณต้องทำอย่างนั้นๆ ตัวเองต้องทำอะไรไม่พูด อีกข้างหนึ่งก็บอกว่าคุณต้องทำอย่างนั้นๆ ตัวเองทำอะไรก็ไม่พูด ก็ยืนอยู่คนละมุม เรียกว่าเอาจุดยืนเป็นตัวตั้ง เพราะว่าถ้าเริ่มต้นด้วยสาระเลยคนจะเอาจุดยืนเป็นตัวตั้ง บอกเลยว่าจุดยืนผมคืออย่างนี้ ก็แปลว่าผมไม่เปลี่ยนไปจากจุดยืน ถ้าอย่างนั้นการเจรจาการปรึกษาหารือมันก็ไร้ประโยชน์สิเพราะต่างคนต่างมีจุดยืนแล้วนี่ และจุดยืนมันขัดกัน ที่ทะเลาะกันเพราะจุดยืนมันขัดกัน เขาถึงต้องมีกระบวนการ ซึ่งเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่เรียนรู้กันได้ สถาบันพระปกเกล้าได้ตั้งศูนย์สันติวิธีและธรรมาภิบาลซึ่งผมเป็นคนเสนอแนะให้ตั้งตั้งแต่ประมาณสิบปีมาแล้ว ก็ได้ไปดูงาน ทั้งไปดูเอง เคยส่งสมาชิกรัฐสภาไปดูงานที่แคนาดา ที่อเมริกา ตอนนั้นประธานก็ไป จำได้ว่าคุณอุทัย พิมพ์ใจชน ก็ไป อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ในฐานะเป็นวุฒิสมาชิกก็ไป ไปหลายฝ่าย ก็ไปเห็นวิธีการที่ประเทศอย่างแคนาดาเวลาเขาจะกำหนดนโยบายใหญ่ๆ เขาจัดให้มีการปรึกษาหารือกันอย่างกว้างขวางเป็นเวลานาน ที่เขาเรียกว่า citizen dialogue การสานเสวนาประชาคม หรือว่าการสนทนาประชาชนแล้วแต่จะเรียก คือประชาชนก็ต้องสรรหาคนที่เหมาะสมหลายๆ ฝ่ายมาร่วมกันระดมความคิด แต่ในการระดมความคิดต้องจัดกระบวนการที่ดี ถึงจะได้สาระที่ดีออกมา ตัวนโยบายต้องมีกระบวนการ กระบวนการคือการมีส่วนร่วม แต่การมีส่วนร่วมจะทำให้เกิดได้อย่างไร มีเทคนิควิธีการ ประเทศสวีเดนจะออกกฎหมายเรื่องสุขภาพเขาตั้งคณะกรรมาธิการของทุกพรรค ทั้งรัฐบาลทั้งฝ่ายค้าน และก็ไปจัดเวทีสาธารณะเวทีรับฟังความเห็นทั่วประเทศ เอามาวิเคราะห์สังเคราะห์ และก็จัดอีกรอบอะไรแบบนี้เป็นเวลาประมาณ 3 ปีก่อนที่เขาจะสรุปว่ากฎหมายนี้หน้าตาจะเป็นอย่างไร แต่ผลที่ได้คือว่าพอกฎหมายนี้เข้ารัฐสภาก็ผ่านโดยเรียบร้อย เพราะมันผ่านกระบวนการที่ดี และกระบวนการที่ดีทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิดที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นความขัดแย้ง ในประเทศไทยเราก็ทำกันนะ กรณีความขัดแย้ง หมอวันชัย วัฒนศัพท์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการคนแรกของศูนย์สันติวิธีและธรรมาภิบาล พล.อ.เอกชัยนี่เป็นคนที่สอง แต่ก่อนหน้าจะมีศูนย์สันติวิธีฯ สถาบันสันติศึกษาที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นซึ่งคุณหมอวันชัยเป็นอธิการบดีเป็นคนริเริ่มจัดตั้งขึ้น ก็เริ่มต้นด้วยการไปศึกษาเรียนรู้จากประเทศที่เขาทำแล้ว ซึ่งแคนาดามีหลายมหาวิทยาลัยมากที่เขาทำเรื่องสันติวิธี และเขาไปช่วยแก้ความขัดแย้ง เช่นระหว่างรัฐบาลกับชนเผ่า หรือระหว่างคนที่ต้องการประโยชน์จากป่าไม้กับคนที่ต้องการรักษาป่าไม้ เขาจัดกระบวนการให้มาพูดมาคุยกัน จึงเป็นสิ่งที่ผมเรียกว่าเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เมืองไทยเราก็ทำกันและที่ทำกันโดยธรรมชาติโดยผู้หลักผู้ใหญ่มาช่วยเป็นคนกลางพูดจากันในหมู่บ้านในชุมชน คือคุยกันแบบธรรมชาติก็ได้ถ้าเรื่องไม่ร้อนแรงมาก หรือโดยธรรมชาติของคนเราก็อยากจะเห็นการแก้ปัญหา ถ้าคุยกันได้ ผู้ใหญ่มาเป็นคนกลางให้ เอาหลายๆ ฝ่ายมาพูดมาคุยกัน ปรึกษาหารือกัน เกิดความคิดที่ดีร่วมกัน คือไม่ใช่มาเถียงกันว่าใครผิดใครถูก เพื่อจะเอาแพ้เอาชนะ มาช่วยกันหาทางออกร่วมกัน ทางออกซึ่งจะพอใจร่วมกัน การเจรจาที่ดีเป้าหมายคือได้ข้อสรุปที่พอใจร่วมกัน คือได้ข้อตกลง ถ้าตกลงกันได้ถือว่าดี”

ในกระบวนการนี้ ‘คนกลาง’ สำคัญอย่างยิ่ง

 

“คนกลางก็จะเป็นประโยชน์ แต่คนกลางต้องเป็นที่ยอมรับของคู่กรณี เดี๋ยวนี้ที่เราทำมากคือเรื่องคดีความในศาล ที่เรียกว่าเป็นความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์หรือ restorative justice เปรียบเทียบกับยุติธรรมเชิงเอาคืน หมายถึงว่าคุณทำผิดต้องลงโทษคุณหรือ retributive justice แค้นนี้ต้องชำระทำนองนั้น เดี๋ยวนี้ก็มานิยมใช้ความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ นั่นคือคู่กรณีตกลงกันได้นอกศาล ก็เป็นคดีแพ่งนะเพราะคดีอาญาคงทำไม่ได้ ก็ประสานงานกัน สถาบันพระปกเกล้าก็มีส่วนในการช่วยจัดฝึกอบรมวิทยากรที่จะเป็นผู้ไกล่เกลี่ย คำว่าไกล่เกลี่ยไม่ได้แปลว่าไปพูดจาหว่านล้อมให้เขาตกลงกัน ไม่ใช่นะ ผู้ไกล่เกลี่ยที่เราเรียกคนกลางจริงๆ แล้วไม่ใช่คนไกล่เกลี่ยในความหมายภาษาไทย แต่หมายถึงคนจัดกระบวนการ คนอำนวยความสะดวกให้คู่กรณีได้พูดจากันอย่างมีขั้นมีตอน ที่เหมาะสม มันต้องค่อยไปทีละขั้น ถ้าไปเดินเร็วเกินไป อย่างเช่นการเจรจาของเราที่ออกทีวีทั้งสองครั้ง เร็วเกินไป เจอหน้ากับปั๊บบอกเลยว่าผมอยากได้อะไรคุณต้องทำอะไร ถ้าสมมติว่ามีคนกลางช่วยจัดกระบวนการจะไม่ใช่แบบนั้น จะต้องค่อยๆ ไป เริ่มต้นต้องสร้างบรรยากาศที่เหมาะสม ไม่ใช่มาถึงก็หน้าดำหน้าแดงชี้หน้าด่าเลย แสดงว่าอารมณ์ยังคุกรุ่นมาก แต่มันไก่กับไข่ เราจะเริ่มอะไรก่อน ก็ต้องเริ่มกระบวนการ เช่นว่ามานั่งกันให้สบายๆ และก็รอบแรกเราอย่าเพิ่งไปออกทีวี มาคุยกันสิว่าที่เราจะเจรจากันจะเจรจาโดยมีขั้นมีตอนอย่างไร จะใช้ที่ไหน ช่วงไหนที่เจรจาโดยยังไม่ออกทีวี ช่วงไหนจะออกทีวี คุยกันเรื่องพวกนี้ มันจะตกลงได้ไม่ยาก คุยกันอย่างสร้างสรรค์ มันจะรู้สึกอบอุ่น คือเพราะไม่มีกระบวนการมันทำให้คู่กรณีกระโจนเข้าใส่สาระ พร้อมทั้งจุดยืน พร้อมทั้งการระบายอารมณ์ พร้อมทั้งการกล่าวหา สบประมาท เสียดสี เกิดขึ้น เราเห็นตำตาเลย เป็นตัวอย่างที่เป็นบทเรียนว่านี่คือสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ถามว่าแล้วทำอะไรแทน มันต้องมีกระบวนการ กระบวนการนี้มีคนมาช่วยจัด ทั้งสองฝ่ายเขาจัดไม่ได้ หนึ่งอาจจะเขาไม่รู้ หรือสองเขาไม่อยู่ในฐานะที่จะจัดเพราะเขาเป็นคู่กรณี มันต้องคนกลาง คำว่าคนกลางไม่ใช่แปลว่าข้างใดข้างหนึ่ง และก็ไม่ได้ไปโน้มน้าวใคร ไม่ได้ไปตัดสินอะไรให้ใคร แต่ช่วยจัดกระบวนการ แต่การจัดกระบวนการทั้งหมดคู่กรณีต้องยอมรับเสมอ ฉะนั้นคนกลางก็จะถามว่าจัดกระบวนการอย่างนี้คุณเห็นด้วยใช่ไหม ถ้าไม่เห็นด้วยคุณมีข้อเสนออะไร สมมติพูดกันว่าเราจัดประชุมนัดแรกๆ โดยยังไม่ต้องออกทีวี เห็นด้วยไหม ถ้าฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรออกทีวีเลยแต่อีกฝ่ายไม่เห็นด้วย คือเห็นว่าถ้ายังไม่ออกจะดีกว่า ก็ลองปรึกษากัน อย่างนี้เป็นต้น เรามาพูดคุยกันเรื่องง่ายๆ ให้เสร็จสิ้นก่อนดีไหม สมมติว่าคุยกันแล้ว ซึ่งของอย่างนี้พูดกันหลังฉากมันง่ายกว่า ไปพูดกันต่อหน้าทีวีก็ไม่ได้เพราะนี่มันยังไม่ใช่เรื่องที่ประชาชนเขาจะสนใจ เขาสนใจข้อตกลงว่าคุณจะตกลงกันว่าอย่างไร การตกลงในเรื่องต้นๆ อย่างนี้คู่กรณีก็ต้องตกลงกันไปทีละเรื่อง เช่นบอกว่าในการเจรจาเราจะมีกติกาอะไรบ้าง ลองเสนอมาสิ ต่างฝ่ายต่างเสนอมา อาจจะรวมแล้ว 20 ข้อ แต่ที่ตรงกันและเห็นพ้องด้วยกัน 10 ข้อ ก็ตัดที่ไม่ตรงกัน 10 ข้อนั้นออกไป ตกลงมีกติกา 10 ข้อนะที่เห็นพ้องต้องกัน เราก็ทำไปตามกติกา 10 ข้อที่เห็นพ้องต้องกัน คนกลางไม่ใช่เป็นคนไปวางกติกา คู่กรณีต่างหากที่วางกติกา แต่คนกลางช่วยให้มีวาระนี้ขึ้น”

 

หลังจากนี้ dialogue ยิ่งควรจะต้องเกิดขึ้นในทุกพื้นที่

 

“ทั้งสามอย่างคือทั้งกระบวนการ ทั้งทัศนคติ ทั้งสาระ นอกจากจะต้องไปด้วยกันแล้วจะต้องทำในเรื่องต่างๆ ตามความเหมาะสม สมมติว่าตอนนี้มีชุมชนตั้งเยอะแยะที่มีทั้งแดงทั้งเหลือง ถ้าเราจะให้ชุมชนเขาได้มาพูดจากัน  ต้องมีคนไปช่วยจัดให้หน่อยซึ่งอาจเป็นวิธีง่ายๆ  เช่นช่องทีวีไทยเชิญชุมชนแถวทุ่งสองห้องใกล้ดอนเมืองมานั่งล้อมวงพุดคุยกันและออกทีวีด้วยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่นั่นเขามีทั้งแดงทั้งเหลือง ก็ผลัดกันพูด ฟังซึ่งกันและกัน แต่ถ้าให้ดีต้องฟังอย่างตั้งใจและฟังอย่างให้เกียรติ ซึ่งที่เขามาออกทีวีได้เพราะว่าเรื่องเขาไม่ได้ร้อนแรงถึงขนาดจะฆ่าจะฟันกัน หรือจะต้องมีเงื่อนไขอะไรกันมากมาย เขาไม่ได้ไปตีกันในชุมชน แต่เขาเห็นต่างกันเท่านั้น ก็มานั่งคุยกันได้ แล้วความรู้สึกจะดีขึ้น และอาจจะทำมากขึ้นหรือลงลึกขึ้น ในที่สุดก็ไปถึงจุดที่ว่าชุมชนนี้แม้จะมีความเห็นต่างก็ไม่เป็นไรอยู่ร่วมกันได้และสามารถมาร่วมกันพัฒนาชุมชนของเขาได้”

 

บทบาทของผู้นำชุมชนน่าจะช่วยให้บรรยากาศคลี่คลายได้บ้าง

 

“ผู้นำที่ฉลาดก็ต้องรู้วิธีที่จะสร้างความสมานฉันท์ และถ้าคิดว่าจำเป็นหรือสมควรต้องมีคนไปช่วย ที่เรียกว่าคนกลางหรือวิทยากรกระบวนการหรือ “กระบวนกร” ก็ไปหามา ซึ่งจะมีอาสาสมัครมีวิทยากรที่สถาบันพระปกเกล้าฝึกไว้ก็เยอะนะ ไปร้อยๆ ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มีเครือข่ายทั่วประเทศ มาช่วยได้ อย่างน้อยเขาได้เรียนรู้เรื่องสันติวิธีมา ขณะนี้สถาบันพระปกเกล้ามีหลักสูตร 9 เดือน เรื่อง “การเสริมสร้างสังคมสันติสุข” หรือหลักสูตร “4ส.” รุ่นแรกเขาเน้นที่ภาคใต้ ที่จริงคลุมทุกเรื่อง คลุมความขัดแย้งอย่างน้อย 4 ประเภท หนึ่งคือภาคใต้ สองการเมือง สามเรื่องทรัพยากร สี่เรื่องประชากรหรือเรื่องทางสังคม ปีนี้ยังคงเรื่องภาคใต้ไว้แต่จะเพิ่มเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมที่ยิ่งใหญ่เข้าไปในประเด็นของหลักสูตรด้วย”

 

ถือว่าในช่วงความขัดแย้งที่ผ่านมา ฝ่ายแนวทางสันติวิธีก็เรียนรู้ไปด้วย

“ใช่ คือคนที่สนใจหรือพยายามจะใช้สันติวิธีถือว่าเป็นส่วนน้อยในสังคม แต่ถ้าเทียบกับเมื่อสิบปีที่แล้วก็เพิ่มขึ้นเยอะ คนที่เข้าใจเรื่องสันติวิธีและเป็นผู้จัดกระบวนการได้ก็เพิ่มขึ้น ความเข้าใจของคนที่ไม่ได้เป็นผู้จัดกระบวนการแต่เข้าใจ เห็นคุณค่าก็เพิ่มขึ้น และอย่างน้อยที่สุดคนที่ตระหนักรับรู้ว่าสังคมเราขัดแย้ง ต้องมีความพยายามที่จะแก้ไข คืออย่างน้อยความตระหนักในปัญหาก็เพิ่มขึ้นมาก”

 

ฟื้นแผนปรองดอง-ยุบสภา

 

สถานการณ์ที่รัฐบาล (คิดว่า) ได้เปรียบ แผนปรองดองแห่งชาติถูกพับเก็บชั่วคราว ยิ่งเรื่องยุบสภายิ่งไม่มีการพูดถึง แต่อาจารย์ไพบูลย์กลับเห็นว่าแผนปรองดองของนายกฯ ต้องนำมาประยุกต์ดัดแปลงให้เหมาะสม และอย่าลืมเรื่องความชัดเจนในการยุบสภา

 

“เนื่องจากรัฐบาลมีแผนปรองดองแห่งชาติ ผมก็ผนวกเข้าไปว่าแผนนี้ต้องมีการปรับปรุงพัฒนาให้มันกลมกลืนไปกับแผนของสังคม ซึ่งที่ว่าปรับปรุงพัฒนามันจะมีประเด็นหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งขณะนี้ดูประหนึ่งว่ายังหาข้อสรุปที่พอใจร่วมกันไม่ได้ หรือยังไม่ตกผลึก ก็คือการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ซึ่งตรงนี้เป็นประเด็นที่ทำให้ขัดแย้งกันสูง แต่ที่มาของประเด็นนี้ก็ซับซ้อน ไม่ใช่เฉพาะประเด็นแค่เรื่องยุบสภาหรอก มันซับซ้อนกว่าเรื่องยุบสภา แต่อย่างน้อยยุบสภาเป็นประเด็น และก็ได้เอามาพูดกันด้วย จนกระทั่งมีการต่อรองกันตั้งแต่ 2 สัปดาห์ไปจนถึง 9 เดือน และตอนหลังคุณอภิสิทธิ์ก็มาเสนอเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย. ยุบสภาก็ประมาณ ก.ย. แต่เนื่องจากว่ายังตกลงกันไม่ได้ เรื่องก็เลยบานปลายไปจนกระทั่งความรุนแรงเกิดขึ้น ฉะนั้นประเด็นเรื่องยุบสภาก็ยังเป็นอยู่ คุณอภิสิทธิ์ก็บอกว่ายังไม่ได้ปิดนะ ยังไม่ได้ปิดช่องที่ว่าจะยุบสภาก่อนครบวาระ เพียงแต่ต้องดูว่าสถานการณ์มันเหมาะสม แต่ประเด็นเหล่านี้เป็นการพูดกันทีละข้าง ยังไม่ได้มีกระบวนการมาช่วย ก็คือกระบวนการมาหารือร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งถ้าทำขณะนี้ยังทำได้ก็ควรทำ ความร้อนแรงก็จะน้อยกวาตอนที่มาออกทีวี เพราะว่าการเผชิญหน้ากันมันผ่านไปแล้ว อาจจะลงใต้ดินลงอะไรแต่อย่างน้อยอุณหภูมิได้ลดลงจาก 100 องศา หรือ 90 องศา มาเป็นอาจจะ 50-60 หรือถ้าเป็นอากาศก็ลดลงจาก 40-50 องศา ซึ่งมันร้อนมาก มาเป็น 30-40 ร้อนพอทนและยังร้อนอยู่ยังไม่เย็น ก็ยังมีเวลาที่จะมาพูดมาคุยกัน แต่การพูดคุยคราวนี้ต้องจัดกระบวนการให้ดี และก็หลายๆ ฝ่ายนะ ไม่ใช่เฉพาะ นปช.กับรัฐบาล อาจจะต้องคิดว่าหลายๆ ฝ่ายมาหารือร่วมกัน รวม นปช.และรวมรัฐบาล รวมฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้ง ส.ส. ส.ว. รวมนักวิชาการ นักธุรกิจ ผู้นำชุมชน ภาคประชาชนสังคม เอ็นจีโอ ให้มีตัวแทนจากหลายๆ ฝ่ายของสังคม มาปรึกษากันว่าเอาละเรายังไม่ผ่านพ้นวิกฤติอย่างสมบูรณ์นะ มันยังมีประเด็นว่าจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ซึ่งรัฐบาลก็ยังไม่ได้พูดชัดว่าจะยุบสภาเร็วกว่ากำหนดหรือไม่ เพียงแต่พูดว่าก็ยังมีความเป็นไปได้ ถ้าถูกถามก็จะบอกว่าก็ยังไม่ปิดโอกาส แต่ต้องให้สถานการณ์เหมาะสม แต่ว่าสถานการณ์เหมาะสมคืออะไร แล้วใครจะทำให้สถานการณ์มันเหมาะสม ถ้าเราจัดเวทีค่อยพูดค่อยจา จัดกระบวนการให้ดี ให้หลายๆ ฝ่ายได้มามีส่วนร่วม จัดขั้นตอนที่เหมาะสม บรรยากาศเริ่มดีขึ้น และถ้ามีหลายฝ่ายมาร่วม ดีกว่าสองฝาย เพราะสองฝ่ายคือคู่ขัดแย้งคนละขั้ว ถ้ามีฝ่ายอื่นๆ เขาไม่ได้ร่วมขัดแย้งด้วย เขาอยู่กลางๆ อาจจะเอียงข้างนี้บ้าง เอียงข้างนั้นบ้าง ไม่เป็นไร แต่รวมแล้วมันมีความสมดุลมากขึ้น ดังนั้นความรู้สึกและความคิดความเห็นก็จะดีกว่าถ้าเป็นแค่สองฝ่าย”

ที่สำคัญคือนำไปสู่ข้อตกลงร่วมกันก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่

 

“ก็สามารถจะค่อยๆ พูดค่อยๆ จาไป อาจจะหลายรอบนะ จนกระทั่งในที่สุดได้ข้อสรุปร่วมกันว่าเงื่อนไขที่เราต้องการก่อนที่จะมีการเลือกตั้งคืออะไร ที่เห็นพ้องต้องกัน ที่คุณอภิสิทธิ์บอกว่าสถานการณ์หรือเงื่อนไขต่างๆ ก็มาตกลงกันให้ได้ก่อนว่าเงื่อนไขหรือสถานการณ์ที่เห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะมีก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่ เช่นแก้รัฐธรรมนูญ แก้ขนาดไหน มีกติกาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง มีความตกลงร่วมกันว่าเราจะเลิกทำร้ายกัน เวลาที่ไปหาเสียงไม่ว่าจะเป็นที่ไหน และยอมรับผลการเลือกตั้ง ถ้าตกลงเงื่อนไขเหล่านี้ได้ก็คิดต่อว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ เราจะมาช่วยกันทำอย่างไร แต่ไม่ใช่ว่าคุณต้องทำอะไร แต่เราจะมาช่วยกันทำอะไร ที่จะให้ เช่นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เรียบร้อย ไม่ใช่พอจะแก้ปั๊บมีคนออกมาประท้วงอีกแล้ว เพราะมีคนตั้งท่าประท้วงอยู่ ทำให้กติกาเกี่ยวกับการเลือกตั้งมันดีขึ้น ทำให้บรรยากาศในสังคม บรรยากาศทางการเมืองไม่มีการกล่าวหาทำร้ายกัน  คืออย่างน้อยไม่ทำร้ายกัน วิพากษ์วิจารณ์ไม่เป็นไร แต่ไม่ถึงขั้นชี้หน้าด่าว่า ตะโกนด่า หรือเอาไข่เน่าขว้างเอาไม้ไล่ตี ซึ่งที่แล้วมามันเกิดขึ้น ก็ต้องมาช่วยทำสถานการณ์ที่ดีๆ ให้มันเกิดขึ้น และเราพูดต่อไปว่าเอาละถ้าเราทำให้สถานการณ์ดีๆ เกิดขึ้นเราน่าจะทำให้ได้ภายในกี่เดือน 6 เดือน 10 เดือน ฉะนั้นเราน่าจะเลือกตั้งได้ภายใน 12 เดือน ตกลงไหม ไม่ตกลงก็อาจจะต่อรองว่าเอ๊ะผมอยากได้ 9 เดือน ถ้า 9 เดือนสถานการณ์ต้องดีขึ้นภายใน 6 เดือนจะช่วยกันทำอย่างไร พูดจนกระทั่งตกลงร่วมกันได้ เราก็จะได้ข้อสรุปร่วมกันในสังคมไม่ใช่นายกฯ ตัดสินใจอยู่คนเดียว ถ้าตกลงร่วมกันได้เงื่อนไขที่ดีก็จะเกิดขึ้น การเลือกตั้งที่ดีก็จะเกิดขึ้น และหลังเลือกตั้งก็จะเรียบร้อย ผลเป็นอย่างไรทุกฝ่ายยอมรับ”

 

รัฐบาลคิดว่ามีแต้มต่อ เลยเลี่ยงประเด็นยุบสภา

 

“จึงเป็นประเด็นขัดแย้งอยู่ แสดงว่าเหมือนกับเรายังมีเสี้ยนอยู่ในเนื้อ มันยังไม่ได้ถูกถอนออกไป มันอาจจะเป็นหนองขึ้นมาเมื่อไหร่ พุพองขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ หรือเป็นฝีอยู่ ซึ่งเราต้องเอาฝีนี้ออก เอาเสี้ยนนี้ออก ที่จริงไม่ใช่เสี้ยนหรอก เป็นตะปูด้วยซ้ำ มันคือตะปูที่ยังอยู่ในร่างกายเรา ฉะนั้นต้องเอาออก แต่วิธีเอาออกก็ไม่ใช่ว่าฝ่ายหนึ่งอยู่ดีๆ มาดึงไปโดยที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้รับรู้ด้วยหรือไม่ได้เห็นด้วย หรือไม่ก็มาตีให้มันหนักเข้าไปอีกให้มันเจ็บหนักไปอีก ต้องมาคุยกันประเด็นนี้เพราะมันอยู่ในแผนปรองดองแห่งชาติครั้งแรก และก็ยังเป็นประเด็นอยู่ ยังมีคนสงสัยข้องใจยังมีคนถือเป็นประเด็น และก็อาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ อย่างน้อยความขัดแย้งที่จะต่อเนื่องไปอีก”

 

ยังติดอยู่ในใจของคนเสื้อแดงที่แพ้กลับบ้านไป

“ใช่ รวมทั้งคนที่จะลงใต้ดินเอยอะไรเอย ก็ยังจะอ้างประเด็นนี้ได้อยู่ เพราะไม่ได้มีข้อตกลงร่วมกันออกมา ไม่มีข้อสรุปร่วมกันออกมา”

การเป็นผู้นำท่ามกลางความขัดแย้งและต้องฟื้นฟูประเทศ อาจารย์ไพบูลย์ยกตัวอย่างคำสอนที่ท่านพุทธทาสที่เคยแนะนำต่อ อ.สัญญา ธรรมศักดิ์ เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรีปี 2517

 

“ธรรมะดีทั้งนั้นแหละ ที่ท่านพุทธทาสแนะนำ อ.สัญญาก็ดีมาก สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันตี สุทธิคือความบริสุทธิ์ความจริงใจ ความสุจริต รวมทั้งความเสียสละ ปัญญาคือการใช้ความคิดที่ลึกซึ้งแยบคาย เมตตาคือมีความรักความปรารถนาดี มีไมตรีจิต ขันตีคือความอดทนอดกลั้น ซึ่งที่จริงก็เป็นวัฒนธรรมไทยมาเนิ่นนาน เพียงแต่หลังๆ มันถูกกัดกร่อนเสื่อมไปเยอะ เราเคยเป็นสังคมที่มีความรักความเมตตากรุณา เอื้ออาทรต่อกัน อดทน อดกลั้นกัน ตอนนี้มันน้อยลง ก็ใช้ธรรมะข้อนี้ได้ หรือในฐานะผู้นำผู้บริหารอยากจะใช้ทศพิธราชธรรมก็ยิ่งดี เพราะทศพิธราชธรรมคือธรรมะของผู้ปกครอง ธรรมะของพระราชา ธรรมะของผู้บริหาร มีตั้ง 10 ข้อ ตั้งแต่ทาน เป็นฝ่ายให้ ไม่ใช่ไปเรียกร้อง ศีลก็คือการปฏิบัติตนให้ถูกต้อง บริจาคคือความเสียสละ อาชชว-ซื่อตรง มัททว-ความอ่อนโยน ตปะ-มีความบากบั่น อโกธ -ไม่โกรธ อวิหิงสา คือความไม่ก้าวร้าวไม่ทำร้าย ก็เหมือนอสิงหาคือไม่รุนแรงไม่ก้าวร้าว มันต้องมาจากใจด้วย ไม่ใช่บอกว่าผมจะไม่ยิงคุณนะแต่ผมจะด่าคุณ อย่างนี้ไม่ใช่อหิงสา นี่คือความก้าวร้าวรุนแรง มหาตมะ คานธีท่านบอกว่าที่เรียกว่าสันติอหิงสา สัตยาเคราะห์ จุดสูงสุดคือจิตใจที่ปราศจากกิเลส คือปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่คือมหาตมะ คานธีที่เรียกวาอหิงสาคืออย่างนี้ ไม่ใช่อหิงสาแค่บอกว่าผมไม่ยิงคุณ แต่ผมจะด่าคุณ ทำร้ายคุณ จะปิดล้อมคุณ อันนี้ไม่ใช่อหิงสาในความหมายของคานธี ข้อที่เก้าคือขันติ  ความอดทนอดกลั้น และข้อสุดท้ายคืออวิโรธน ความยึดมั่นในธรรม ยึดมั่นในสิ่งที่เป็นคุณงามความดีอย่างไม่หวั่นไหว”

“สิบข้อนี้คือทศพิธราชธรรม ธรรมะของผู้ปกครอง ซึ่งถ้าเราไปดูนักการเมือง ดูนักบริหารและลองเทียบกับสิบข้อนี่ก็พอจะวิเคราะห์ได้ว่าใครมีข้อไหนแข็งข้อไหนอ่อน ฉะนั้นนักการเมือง ผู้บริหาร ผู้ปกครองยิ่งสูงเท่าไหร่ยิ่งควรใช้ ซึ่งผมคิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรามีครบทั้งสิบข้อนี้ ลองไล่ดูทุกข้อสิ ไม่เห็นท่านโกรธใคร ขันติ ความอดทนอดกลั้น พระองค์ท่านอดทนอดกลั้นสูงมาก มีความกดดันพระองค์ท่านอย่างแรง ยิ่งระยะหลังและปัจจุบันความกดดันแรงมาก พระองค์ท่านมีความอดทนอดกลั้น และก็ความยึดมั่นในธรรมะ ความถูกต้องดีงาม สิบข้อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีครบ ทศพิธราชธรรม ฉะนั้นผู้ปกครองลองพิจารณาดูว่าถ้าใช้ทั้งสิบข้อนี้ มันจะนำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยกหรือว่านำไปสู่ความสมานฉันท์สันติสุข เริ่มจากตัวเองทำและก็ชวนคนอื่นทำ เราก็หวังว่าการปฏิรูปครั้งใหญ่หรือว่าการที่ใช้วิกฤติเป็นโอกาสก็จะนำไปสู่สิ่งที่ดีงามเช่นนี้ ที่ผมเขียนบันทึกว่าการฟื้นฟูคงต้องมีธรรมะมาช่วย มีศิลปะมีกระบวนการที่ดีมาช่วย”

 

ในระหว่างกระบวนการนี้อาจมีการขอให้อาจารย์เป็นคนกลาง

“ผมพูดอยู่เสมอว่าคนกลางยิ่งในภาวะที่มีความขัดแย้ง คู่ขัดแย้งต้องเห็นชอบร่วมกัน ถ้าเห็นชอบร่วมกัน ซึ่งในประเทศไทยมีตั้งเยอะแยะก็ไปเลือกมา แต่ละฝ่ายเลือกมาสักคนละ 10 ชื่อ ถ้าตรงกันชื่อหนึ่งก็ใช้ได้แล้ว ส่วนใหญ่จะไม่ตรงกัน ไม่เป็นไร ฝ่ายละ 10 ชื่อรวมสองฝ่าย 20 ไม่สำเร็จ เอ้าเลือกมาอีก 20 เลือกมาอีก 30-40 เลือกมาจนกระทั่งได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่อายุมาก ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีบารมีเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ คนจัดกระบวนการเป็นคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวที่เขาเรียนวิชานี้มาเขาก็จัดได้ สมัยเมื่อ 20 มาแล้วถ้าจะจัดกระบวนการให้ผู้บริหารมาประชุมกัน คนจะระวังมากเลย คนที่จะไปจัดถ้าเป็นผู้น้อย เป็นคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวไม่กล้าไปทำ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเดี๋ยวนี้ประชุมผู้บริหารอายุ 50-60 มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการใหญ่เป็นประธาน เอาหนุ่มสาวอายุ 30 มาจัด ก็คุ้นเคยกันไม่ว่าอะไร ผมเองก็ไปร่วมสัมมนาแบบนี้บ่อย ที่คนจัดกระบวนการเป็นคนรุ่นลูกรุ่นหลาน”

 

นั่นเพราะผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมต่างก็ได้ใช้ต้นทุนทางสังคมหมดไปกับความขัดแย้งในช่วงตลอด 4-5 ปีนี้

 

“อย่าไปแบ่งเลย ใครช่วยได้ก็เข้ามาช่วยกัน เราไม่ต้องไปยึดติดว่าต้องเป็นผู้ใหญ่มีเครดิตในสังคม เพราะตอนนี้กระทั่งเด็กที่เขาสนใจ มีกลุ่มเยาวชนศึกษาสันติวิธีเขาก็ไปทำงานกัน ไปเยี่ยมเยียนผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ไปค้นหาความเป็นจริง ระดมความคิดมาเสนอแนะ เยาวชนเขาก็ทำไปตามธรรมชาติ”

แต่ถ้าว่ากันตามตรงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร แต่ชื่อของ อ.ไพบูลย์ยังคงเป็นที่ยอมรับของหลายฝ่าย

 

“เราต้องทำอะไรเท่าที่ทำได้ เท่าที่เป็นไปได้ อย่าไปคาดหวังหรือไปตั้งเกณฑ์ว่าต้องได้เท่านั้นต้องได้เท่านี้ ต้องคนนั้นคนนี้ เรายืดหยุ่นปรับเปลี่ยนไปได้ตามสถานการณ์ คนที่คิดดีพูดดีทำดี คนที่เป็นที่ยอมรับของหลายๆ ฝ่ายยังมีอยู่อีกจำนวนไม่ใช่น้อย หรือคนรุ่นใหม่ คนหนุ่มสาว วัยกลางคนก็ยังมีอีกเยอะที่จะเข้ามาช่วยกัน ผมเองก็ป่วยอยู่ เป็นมะเร็ง แต่ช่วงนี้มีอะไรที่พอทำได้ก็เข้าไปช่วย ในเรื่องความเจ็บป่วยของผม ผมไม่เคยมาตั้งคำถามว่าจะหายป่วยเมื่อไหร่  แต่อะไรที่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นบ้างก็ทำ ในเรื่องปัญหาของประเทศในระยะนี้ผมมักเจอคนถามว่าสังคมเราตอนนี้มีปัญหายุ่งเหยิงวุ่นวายมากจะจบได้หรือ มันจะมีทางออกจริงหรือ สองฝ่ายเขาจะเจรจาได้ไหม ซึ่งผมมักตอบว่าแทนที่จะเอาแต่ตั้งคำถาม เรามาช่วยกันคิดเชิงบวก คิดเชิงสร้างสรรค์จะดีกว่ามาก ซึ่งเราต้องมาช่วยกันคิดว่า ใครควรทำอะไร อย่างไร และตัวเราเองจะทำอะไร และในส่วนของตัวเราเองถ้าทำอะไรได้ก็ทำไปเลย ไม่มามัวแต่ตั้งคำถามหรือรอให้คนอื่นทำก่อน”.

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/365360

<<< กลับ

องค์กรชุมชน จะร่วมกันปฏิรูปประเทศไทยได้อย่างไร

องค์กรชุมชน จะร่วมกันปฏิรูปประเทศไทยได้อย่างไร


(เอกสารประกอบการอภิปรายใน “การประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนสมัยวิสามัญ  ครั้งที่ 1″ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2553  ณ  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน)

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/370727

<<< กลับ

“สามเหลี่ยเขยื้อนภูเขา” “3 เสาหลัก/กงล้อหลัก ที่จะนำชีวิต/ชุมชน/องค์กร/สังคม/มนุษยชาติ ไปสู่ความเจริญสันติสุข อย่างมั่งคงและยั่งยืน” “3 องค์ประกอบสำคัญ ในการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี/ในการปรองดองสมานฉันท์”

“สามเหลี่ยเขยื้อนภูเขา” “3 เสาหลัก/กงล้อหลัก ที่จะนำชีวิต/ชุมชน/องค์กร/สังคม/มนุษยชาติ ไปสู่ความเจริญสันติสุข อย่างมั่งคงและยั่งยืน” “3 องค์ประกอบสำคัญ ในการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี/ในการปรองดองสมานฉันท์”


 

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/372549

<<< กลับ

สื่อคุณธรรมกับความรับผิดชอบต่อสังคม

สื่อคุณธรรมกับความรับผิดชอบต่อสังคม


(เอกสารประกอบการปาฐกถาในงาน  โครงการจัดประชุมเพื่อพัฒนาประเด็นเรื่องสื่อคุณธรรม  ครั้งที่ 3  เรื่อง “ทำอย่างไรให้สื่อมีคุณธรรม ?”  จัดโดยศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม)  ร่วมกับองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท. / ThaiPBS)  เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม  2553  ณ  ห้องกิ่งทอง  โรงแรมเอเชีย)

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/375373

<<< กลับ

ไพบูลย์..ชี้ปฏิรูปต้องทำร่วมหลายส่วน

ไพบูลย์..ชี้ปฏิรูปต้องทำร่วมหลายส่วน


(สรุปปาฐกถาพิเศษลงใน  หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ  ฉบับวันที่  8  กรกฎาคม  2553  จากการสัมมนา “ธุรกิจเพื่อสังคม : พลังขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทย”  จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  ณ  โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์พาร์ค  เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2553)

 

นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม  ประธานมูลนิธิหัวใจอาสา  กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ธุรกิจเพื่อสังคม”  ประเทศชาติไม่ติดหล่ม สังคมไม่ติดลบ  ว่า  การปฏิรูปประเทศจำเป็นและควรทำแต่ต้องทำหลายส่วนและหลายมิติของประเทศ  โดยประชาชนถือว่าเป็นส่วนใหญ่ที่สุด  ภาคธุรกิจทุกกิจการที่เป็นธุรกิจถือว่ามหาศาลทั่วประเทศ ทุกประเภท  ทุกขนาดทุกพื้นที่  และภาครัฐที่ได้รับอำนาจมาจากประชาชนและมีหน้าที่บริหารจัดการสังคม  ทั้งสามฝ่ายจะปฏิรูปประเทศต้องร่วมมือกันและช่วยกันคิด  และการจะปฏิรูปอะไรควรเริ่มจากตัวเองก่อน

                วันนี้โฟกัสการปฏิรูปไปอยู่ที่ภาคธุรกิจและภาคอื่นๆ  คือธุรกิจเพื่อสังคม ซึ่งต้องปฏิรูปทั้งวิธีคิดและวิธีทำ การมองต้องแบบมองกว้าง  คิดไกล  ใฝ่สูงส่ง  มองทุกอย่างให้เป็นระบบ  คิดในเชิงบวกเชิงรุก  และคิดในทางสร้างสรรค์  เป็นการปฏิรูปวิธีคิด  ไม่ง่ายแต่ทำได้  คิดโดยเห็นความเป็นระบบและความเป็นพลวัตของสรรพสิ่ง  ในสังคมและในโลก

การปฏิรูปประเทศไทย  ภาคสังคม เศรษฐกิจ  และการเมือง  ทั้ง  3  ฝ่ายจะต้องร่วมกันคิดจากตัวเองว่าจะช่วยกันปฏิรูปได้อย่างไร  และควรแสวงหาแนวร่วมกับภาคอื่นๆ  ด้วยการรวบรวมพลังสร้างสรรค์เข้ามาร่วมมือ  เป็นหุ้นส่วนซึ่งกันและกัน  โดยเฉพาะภาคธุรกิจต้องปฏิรูปทั้งวิธีคิดและวิธีทำ  จากมองแคบ  คิดใกล้  ใฝ่ต่ำเตี้ย  เป็นมองกว้าง คิดไกล  ใฝ่สูงส่ง  จากมองแบบแยกส่วนเฉพาะจุด  เฉพาะเรื่องมา  เป็นมองสังคมทั้งหมดแบบองค์รวมหรือบูรณาการ  จากการคิดธุรกิจเพื่อธุรกิจ  เป็นการคิดธุรกิจเพื่อสังคม

การปฏิรูปวิธีทำ ต้องเปลี่ยนความคิดจากที่ว่าการทำธุรกิจเป็นของธุรกิจ โดยธุรกิจ  เพื่อธุรกิจ แต่ให้เปลี่ยนเป็นการทำธุรกิจเพื่อสังคม ทำธุรกิจที่มีคุณภาพคือ

1. เป็นการทำธุรกิจที่มีธรรมาภิบาล  มีความถูกต้อง เหมาะสม  มีคุณธรรมความดี

2. เป็นการทำธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างสมบูรณ์แบบ  ซึ่งหมายถึง  มีความถูกต้องชอบธรรมดีงามในทุกกระบวนการของธุรกิจ  ตั้งแต่เริ่มการตั้งโรงงาน  การเลือกคน  การผลิตสินค้า  การบริการทุกขั้นตอนและอื่น ๆ

3. เป็นการทำธุรกิจที่มีหรือเป็น  “กิจการเพื่อสังคม”  (Social  enterprise)  ซึ่งมีความสำคัญขนาดที่  รัฐบาลตั้ง  “คณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม”  ขึ้นมาโดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเอง  ทั้งนี้บางธุรกิจได้มีการดำเนินการไปแล้วเกี่ยวกับมีหรือเป็น  “กิจการเพื่อสังคม”  เป็นการเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีทำ

 

การปฏิรูปความคิดจากเดิมศูนย์รวมอยู่ กทม.  เป็นการกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ  ทั่วประเทศ  ให้สร้างความร่วมมือและเอาพื้นที่จังหวัดเป็นตัวตั้ง  เริ่มจาก  ภาคประชาชน  และมีแต่ละองค์กรที่เกี่ยวข้องมาเป็นตัวแทน  เป็น  “เครือข่ายพหุภาคีเพื่อขับเคลื่อนจังหวัด”  โดยให้ชุมชนท้องถิ่นซึ่งเป็นฐานรากที่แท้จริงของสังคม  เป็นเจ้าของเรื่องหลัก  และมีบทบาทสำคัญ  ทั้งนี้ในปัจจุบัน  ชุมชนท้องถิ่นได้พัฒนาก้าวหน้าไปมากพอสมควร  มีเครือข่ายทั่วประเทศ

การปฏิรูปจากฐานรากขึ้นมาเป็นไปได้โดยกลไกที่จังหวัดทุกจังหวัด  นอกจากนี้ต้องปฏิรูปการทำงานและวิธีคิดคือ

1.  ให้เอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง  โดยชุมชนและประชาชนในพื้นที่เป็นแกนหลักและมีบทบาทสำคัญ

2.  ให้ประชาชนในพื้นที่เป็นเจ้าของเรื่องและเจ้าของประเด็นเป็นสำคัญ  เพราะเรื่องและประเด็นในจังหวัดเป็นเรื่องของประชาชน  ประชาชนจะรู้ดีว่าสภาพเป็นอย่างไร  ปัญหาเป็นอย่างไร  ความต้องการเป็นอย่างไร  ฯลฯ

3.  ทุกฝ่ายทั้งที่อยู่ในพื้นที่และมาจากนอกพื้นที่ต้องประสานความร่วมมือ  เป็นความสัมพันธ์ในแนวราบ  ทุกคนทุกฝ่ายร่วมมืออย่างเสมอกัน

 

                “การปฏิรูปฐานรากที่ท้องถิ่นจะเกิดขึ้นได้ต้องมีกลไกที่เอื้ออำนวยไปในทุกจังหวัด  ต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากเอาหน่วยงานเป็นตัวตั้งเป็นเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง  ให้ชุมชน ประชาชนในพื้นที่มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจ  โดยมีหน่วยงานต่างๆ  ไปส่งเสริมสนับสนุน  ขณะเดียวกันทุกฝ่ายทั้งภาครัฐภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม  ต้องประสานความร่วมมือให้เป็นความสัมพันธ์แนวราบ  ไม่คิดว่าใครเหนือกว่าใคร”

นั่นคือเอาทั้งสามส่วนมาประสานความร่วมมือกัน ให้ประชาชนเป็นเจ้าของเรื่องและส่วนอื่น ๆ เป็นส่วนสนับสนุน และถือว่าภาคธุรกิจมีความสำคัญและเชื่อว่า เป็นหนึ่งในภาคที่มีความสำคัญและมีพลังสูง  ซึ่งสามารถจะมีบทบาทมากในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่สังคมที่น่าอยู่และเจริญสันติสุขอย่างแท้จริงและอย่างยั่งยืน

(ปรับปรุง  1  มี.ค.  54)

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/380881

<<< กลับ

กก. ปฏิรูปชี้ปรองดองสำเร็จ ‘อภิสิทธัตถะ’

กก. ปฏิรูปชี้ปรองดองสำเร็จ ‘อภิสิทธัตถะ’


‘สุเทพ’  ให้  ‘ปชป.’  พร้อมใน  12  ด.  ‘เฉลิม’  ปูดบีบพยานพลิกคดี  ‘ยุบ’

(ข้อความข่าว  ลงใน  หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน  ฉบับวันอาทิตย์ที่  1  สิงหาคม  2553)

                กก.ปฏิรูปแนะดึงประชาชนร่วมแก้ขัดแย้ง  ยกเทียบ  ‘อภิสิทธัตถะ’  หากทำปรองดองสำเร็จ  ‘สุเทพ’  ให้เวลา  ‘ปชป.’  12  เดือน  เร่งสร้างความเข้มแข็ง – สั่งลุยระดับจังหวัด – แจกซีดีสู้  ‘แดง’  ชุดสมัชชาฯเปิดหนัง  ‘เเมนเดลา’  ให้ดู  กล่อมเลิกมอง  นปช.  เป็นศัตรู  ‘เฉลิม’  ปูดบีบพยาน  ‘ยุบ’  พลิกลิ้น  คุยมีสำเนาเช็ค  27  ฉบับมัด

 

ทหาร-ตร.  คุ้มกันเข้มสัมมนา  ปชป.

พรรคประชาธิปปัตย์จัดสัมมนาประจำปีขึ้นที่  โรงแรมเมอร์ลิน  บีช  รีสอร์ท  หาดป่าตอง  จ.ภูเก็ต  ระหว่างวันที่  31  กรกฎาคม – 1  สิงหาคม  ทั้งนี้การสัมมนาวันแรกเมื่อวันที่  31  กรกฎาคม  หัวข้อ  “รวมพลัง  แก้ไขวิกฤตชาติ”  มีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ผสมระหว่างตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต  ตำรวจตะเวนชายแดน  200  นาย  และทหารจำนวนหนึ่ง  ทั้งในและนอกเครื่องแบบกระจายกำลังอารักขา  และรักษาความปลอดภัยโดยรอบโรงแรม  นอกจากนี้  ยังมีการตั้งด่านตรวจ  24  ชั่วโมง  2  แห่งบริเวณทางขึ้นโรงแรมที่อยู่บนภูเขาหาดไตรตรัง  และตรวจวัตถุระเบิดบริเวณโรงแรมและห้องประชุมด้วย

การสัมมนาประจำปีครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลา  09.30  น.  มีกรรมการบริหาร  ส.ส.  และรัฐมนตรีของพรรคเข้าร่วม  โดยพร้อมใจกันใส่เสื้อโปโลสีชมพูทับด้วยเสื้อเจ็คเก็ตมีโลโก้พรรค  รอบห้องประชุมประดับด้วยธงสีฟ้า  พร้อมข้อความ  “ประชาชน  ประชาธิปไตย  ประชาธิปัตย์”

 

ไพบูลย์แนะดึง  ปชช.  ร่วมแก้ปัญหา

จากนั้น  นายไพบูลย์  วัฒนศิริธรรม  อดีตรองนายกรัฐมนตรี  และกรรมการสมัชชาปฏิรูปกล่าวบรรยายหัวข้อ  “อนาคตประเทศไทยบนพื้นฐานความปรองดอง”  ว่า  ตามหลักทั่วไป  ใครเป็นผู้สร้างปัญหา  ย่อมแก้ปัญหาได้ดีที่สุด  ปัญหาความปรองดองของประเทศไทยขณะนี้เกิดขึ้นจากนักการเมืองเป็นฝ่ายนำ  ประชาชนเข้ามาสมทบ  จนกลายเป็นความแตกแยกทั่วประเทศ  ฉะนั้น  คนที่จะต้องแก้ไขคือนักการเมืองกับประชาชน  นักวิชาการแก้ไม่ได้  นายอานันท์  ปันยารชุน  ประธานคณะกรรมการปฏิรูป  นพ.ประเวศ  วะสี  ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป  นายคณิต  ณ  นคร  ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติก็แก้ไม่ได้  ทำได้แค่เข้าไปกระตุ้น  เสริมหนุน  ให้ฝ่ายการเมืองกับฝ่ายประชาชนเข้ามาแก้ให้ได้

นายไพบูลย์กล่าวว่า  หลักง่ายๆ  ในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง  คือต้องมีกระบวนการที่ดี  มีการจัดขั้นตอน  และสรรหาบุคคลที่เหมาะสมเข้ามาร่วมในแต่ละขั้นตอน  เริ่มจากเล็กๆง่ายๆแล้วค่อยทำมากขึ้น  สูงขึ้น  ยากขึ้น  ไม่ใช่เริ่มต้นเหมือนที่นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  นายกรัฐมนตรี  ไปเจรจากับแกนนำคนเสื้อแดงออกโทรทัศน์  เป็นการกระทำที่ไม่มีกระบวนการ  ไปคุยเนื้อหาสาระเลย  ผลที่ออกจึงไม่สามารถบรรลุความสำเร็จที่ดีได้  แถมยังมีการด่าว่าออกสาธารณะ  แผนปรองดองทั้งห้าข้อของนายกฯ  ยังเป็นแผนคิดข้างเดียว  ยังไม่ใช่ข้อตกลง  ก็ย่อมมีการต่อต้านเป็นธรรมดา  อะไรที่คิดข้างเดียวย่อมมีปัญหา  จึงต้องหาทางให้ทุกฝ่ายร่วมกัน  โดยเฉพาะฝ่ายประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง

 

ปฏิรูปได้จะกลายเป็นอภิสิทธัตถะ

นายไพบูลย์กล่าวว่า  “การแก้ปัญหาความแตกแยกจะต้องเริ่มที่ตัวเรา  ไม่ใช่เสนอให้คนอื่นทำอะไร  แต่ตัวเองไม่ทำอะไร  เหมือนพ่อบอกให้แม่กับลูกทำอย่างนั้น  แต่ตัวเองบอกไม่บอกว่าจะทำอะไร  ปัญหาที่ซับซ้อนจะต้องให้พลังสังคมเป็นตัวนำ  เหมือนในทฤษฎีสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาของ  นพ.ประเวศ  วะสี  ผมขอพูดต่อหน้านายกฯและสมาชิกพรรคประชาธิปปัตย์ว่า  เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชมนายกฯอภิสิทธิ์  เพราะเป็นคนดี  ฉลาด  และซื่อตรง  ภาษาบาลีเรียกว่าเป็นสัตบุรุษ  หรืออภิสิทธิ์สัตตะ  สิ่งที่ท่านทำ  ทั้งสร้างความปรองดองหรือปฏิรูปประเทศให้ดีกว่าเดิม  อาจมีคนไม่ชอบบ้างเป็นธรรมดา  แต่คนส่วนใหญ่พอใจอยากให้ท่านทำสำเร็จ  ถ้าท่านทำได้  ไม่เป็นเพียงนายอภิสิทธิ์สัตตะ  แต่จะเป็นนายอภิสิทธัตถะ  เพราะคำว่าสิทธัตถะในภาษาบาลีแปลว่า  ผู้สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว”

 

(มีข้อความข่าวต่อ) ……………………………………………………………………………………………..

……………………………………………………………………………………………………………………….

……………………………………………………………………………………………………………………….

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/381266

<<< กลับ

ว่าด้วย “อภิสิทธัตถะ” จากคำบรรยาย “อนาคตประเทศไทยบนพื้นฐานความปรองดอง”

ว่าด้วย “อภิสิทธัตถะ” จากคำบรรยาย “อนาคตประเทศไทยบนพื้นฐานความปรองดอง”


(ถอดเทปคำบรรยายของอาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ในงานสัมมนาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรรมการบริหาร และรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ ณ โรงแรมเมอร์ลิน บีช รีสอร์ท จังหวัดภูเก็ต วันที่ 31 กรกฎาคม 2553)

 

(ช่วง 10 นาทีสุดท้าย)

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ผมถือโอกาสเรียนว่า  คณะกรรมการเสริมสร้างความสมานฉันท์แห่งชาตินี้  จะมาเสริมท่านนะครับ  ไม่ใช่มาแทนท่าน มาเสริมความพยายามที่จะสร้างความปรองดอง  แต่เสริมในลักษณะพื้นฐาน  อาจจะเติมช่องว่าง  อาจจะปูพื้นฐาน เพื่อให้ในที่สุดประเทศไทยมีวัฒนธรรมสันติ  หรือสันติวัฒนธรรม  คือ  Culture  of  Peace  ในภาษาขององค์การ  USESCO  สังคมเราจะเปลี่ยนไปครับ  จากสังคมที่ชอบความขัดแย้ง  ชอบความเหลื่อมล้ำ  ชอบอุปถัมป์  ชอบขอชอบให้  มาเป็นสังคมที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูล  ช่วยเหลือ  สมานฉันท์ซึ่งกันและกัน  จะกลายเป็นพลังทางสังคม  กลายเป็นทุนทางสังคม  หรือ  Social  Capital  ที่ยิ่งใหญ่  และนั่นแหละจะเป็นฐานที่เข้มแข็งของสังคมไทย  และจะเป็นฐานที่สร้างความดีที่ผมว่าขาดไปในสังคมไทย  หรือพร่องไป  เรามีความสามารถ  เรามีความสุขพอประมาณ  แต่ความดีเราพร่องไป  ต้องเติมเรื่องของความดี และจะเติมได้ด้วยการกระทำทั้งหลายที่เป็นไปในทางสร้างสรรค์  เป็นไปในทางที่จะรวมพลังกัน โดยเฉพาะรวมพลังด้านภาคประชาชน

 

ผมคิดว่า  ถ้าคณะคุณหมอประเวศ  คณะคุณอานันท์  ได้ทำหน้าที่  ระหว่างที่ทำหน้าที่  ท่านไม่ต้องรอจนเขาเสนอผลงาน เพราะว่ามีข้อเสนอมาเยอะแล้ว แล้วผมเชื่อว่าทั้ง 2 คณะนี้จะรีบเสนอโดยเร็ววัน มีอะไรบ้างที่เสนอได้คงจะรีบเสนอมา เพราะฝ่ายประชาชนเขามีข้อเสนอมาแล้วนะครับ  ผมได้มาหลายปึกเลยครับจากทางด้านชุมชน  ซึ่งเขากลั่นกรองมาหลายรอบแล้ว  พร้อมเสนอได้เลย  ท่านก็ไปเลือกเอาและลงมือทำได้  ท่านก็จะได้ทั้งการปฏิรูป  พร้อมกับการสมานฉันท์ทางอ้อม  เป็นการสมานฉันท์ขั้นพื้นฐาน  แม้คุณหมอประเวศและคุณอานันท์จะบอกว่าไม่ใช่เรื่องปรองดอง  แต่ผมคิดว่า ถ้าปฏิรูปได้ดี  กระบวนการปฏิรูปที่ดีคือกระบวนการปรองดอง เพราะคนทุกฝ่ายเข้ามาทำงานด้วยกัน

เปรียบเสมือนบ้านเรากำลังพังกำลังทรุด  แล้วคนที่เกี่ยวข้องมาช่วยกันซ่อมบ้านสร้างบ้าน นั่นแหละเขาสมานฉันท์โดยไม่รู้ตัว คนที่ไปช่วยกันกวาดขยะและซ่อมสิ่งสลักหักพังที่ราชประสงค์ เขาสมานฉันท์โดยไม่รู้ตัว แล้วถ้าปฏิรูปดี ผลดีเกิดขึ้น คนเกิดความสุขความชื่นชม ความสมานฉันท์เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ  แต่สำหรับประเทศไทยอาจจะไม่พอ ต้องมีความสมานฉันท์ทางตรงด้วย  คือต้องมีความสมานฉันท์อันเนื่องมาจากการเผชิญหน้า ปะทะรุนแรง เพราะยังมีเรื่องความเป็นธรรม เรื่องการเยียวยา เรื่องการที่จะสร้างความโปร่งใส การค้นหาความเป็นจริง การให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องตรงไปตรงมา การเกิดสำนึกที่จะขอโทษและให้อภัย  แล้วก็มาปรองดอง  คำว่าปรองดองนี้จะรวมถึงการขอโทษและการให้อภัยด้วย  แล้วก็มาร่วมกันสร้างประเทศไทย  สร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมที่น่าอยู่ เป็นสังคมที่อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน เป็นสังคมที่จะเป็นตัวอย่างของประเทศอื่นๆ ได้ เพราะเรามีศักยภาพครับที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีของประเทศอื่นๆ ในการอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์สันติสุขได้ ผมก็หวังว่าความพยายามของรัฐบาล ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะทำให้เกิดอนาคตของประเทศไทยที่ดีกว่า บนพื้นฐานของความปรองดอง น่าจะเป็นไปได้

สุดท้ายครับ ผมขออนุญาตพูดต่อหน้าท่านนายกฯ และท่านสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์  ว่าผมเป็นคนหนึ่งที่มีความชื่นชม เคารพนับถือท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะที่ท่านเป็นคนดี มีความฉลาด มีความซื่อตรง คนที่เป็นคนดี คนฉลาด คนซื่อตรง ภาษาบาลีเรียกว่าเป็น “สัตบุรุษ” สัตตะ แปลว่าเป็นคนดี คนฉลาด คนซื่อตรง ฉะนั้นเราอาจจะเรียกท่านว่า คุณอภิสิทธิ์สัตตะ (ปรบมือ) หรือสัตตอภิสิทธิ์  แต่  แต่ครับ  แม้ท่านเป็นคนดี เป็นคนฉลาด เป็นคนซื่อตรงก็จริง  แต่ท่านยังมีปณิธาน มีจุดมุ่งหมาย 2 เรื่องที่สำคัญยิ่งสำหรับสังคมไทยในปัจจุบัน คือ 1 สร้างความปรองดอง  และ2 ปฏิรูปประเทศไทยให้ดีกว่าเดิม ต้องมีสร้อยต่อครับว่าต้องปฏิรูปให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่ปฏิรูปแล้วเละเทะเลยนะครับ  (หัวเราะ)  ปฏิรูปแล้วแย่กว่าเดิมก็ไม่ดีนะครับ  ฉะนั้นท่านต้องสร้างความปรองดองความสมานฉันท์ที่แท้จริงให้เกิดขึ้น  และต้องปฏิรูปประเทศไทยให้ดีกว่าเดิม ไหนๆ จะลงทุนลงแรงปฏิรูปต้องทำให้ดีกว่าเดิมใช่ไหมครับ

อย่างประเทศญี่ปุ่น ประเทศเยอรมัน รวมถึงอิตาลี เขาแพ้สงคราม เขาปฏิรูปจนดีกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า อัฟริกาใต้ก็ปฏิรูปแล้วดีกว่าเดิม หลายประเทศที่ประสบปัญหาภายในเขาปฏิรูปแล้วดีกว่าเดิม เราก็ต้องทำได้ ต้องปฏิรูปแล้วดีกว่าเดิม ถ้าท่านนายกฯ ทำ 2 เรื่องแล้วสำเร็จนะครับ  จะเลื่อนฐานะจากสัตบุรุษ คือ  “คนดี คนฉลาด คนซื่อตรง” เป็น  “ผู้ที่สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว”

ท่านมีความมุ่งหมาย 2 ข้อ คือ 1 ปรองดอง 2 ปฏิรูป ปรองดองก็คือให้เกิดความสมานฉันท์ เลิกแบ่งข้างเลิกทะเลาะแต่มาร่วมมือกันสร้างสรรค์ประเทศ แล้วก็ร่วมมือกันปฏิรูป ปฏิรูปแล้วประเทศไทยดีกว่าเดิม ถ้าท่านทำเช่นนั้นได้ ภาษาบาลีเขาเรียกว่า “สิทธัตถะ” สิทธัตถะ ไม่ใช่ชื่อพระพุทธเจ้าเพียงอย่างเดียวนะครับ  เป็นคำภาษาบาลีที่มีความหมายว่า  “ผู้สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว”  ฉะนั้นท่านจะเลื่อนฐานะจาก  “สัตตอภิสิทธิ์”  หรือ  “อภิสิทธิ์สัตตะ”  เป็น  “อภิสิทธัตถะ”  ครับ  (ปรบมือ)  ผมขอเอาใจช่วยนะครับ  ด้วยความจริงใจ  และผมเชื่อว่าคนในประเทศไทยจำนวนมากเลยเอาใจช่วยท่าน  ทั้งชื่นชมและเอาใจช่วย แต่แน่นอนครับ ในประเทศไทยคนที่ไม่ชอบท่านก็มี (หัวเราะ) เป็นธรรมชาติครับ เป็นสัจธรรม  แม้แต่พระพุทธเจ้ายังมีคนไม่ชอบได้  เราเป็นคนธรรมดามีคนไม่ชอบเป็นเรื่องธรรมดามากนะครับ  แต่ผมคิดว่าคนจำนวนมากชอบท่าน ชื่นชมท่าน และอยากให้ท่านขยับฐานะจาก  “สัตตอภิสิทธิ์”  หรือ  “อภิสิทธิ์สัตตะ”  เป็น  “อภิสิทธัตถะ”  คือทำภารกิจใหญ่เรื่องความปรองดองและการปฏิรูปให้สำเร็จได้อย่างน่าพอใจ  ขอบคุณและสวัสดีครับ

(เรียบเรียงขัดเกลา  4/8/53)

 

อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/381530

<<< กลับ