‘ไพบูลย์’ เตือนวิกฤตจริยธรรม จี้ ‘การเมือง – ภาครัฐ’ ฟื้นศรัทธา
(สกู๊ปข่าวในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 หน้า 15)
ประเทศไทยประสบปัญหามาตลอดจนกลายเป็นวิกฤติที่ยิ่งใหญ่ 4 เรื่อง คือ 1.วิกฤติทางเศรษฐกิจ แต่นับว่าประเทศไทยยังโชคดีที่ไม่มีวิกฤติด้านสถาบันการเงินซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงพัฒนาด้านธรรมาภิบาลในภาคธุรกิจ และทำให้หลายสถาบันการเงินของไทยสามารถผ่านพ้นวิกฤติรอบนี้ไปได้ ผมหวังว่าภาครัฐจะให้ความสำคัญเรื่องนี้โดยจัดให้มีพระราชบัญญัติธรรมาภิบาลหรือการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดีเพราะปัจจุบันยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร
2. วิกฤติด้านการเมือง จะเห็นได้ว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา ไทยเกิดปัญหาความแตกแยกในบ้านเมือง ทำให้ผู้คนหยิบอาวุธมาต่อสู้มีผู้บาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ทำให้อาคาร ทรัพย์สิน และผู้คนจำนวนมากได้รับความเสียหายจากการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้น
3. วิกฤติด้านสังคม ประเด็นนี้เกิดจากการเมืองนำไปสู่ความแตกแยก แบ่งสี แบ่งข้าง แม้แต่ในครอบครัวเดียวกันหรือในองค์กรหรือในชุมชนเดียวกัน ก็พบว่ามีการแบ่งเป็น 2 สี
และ 4. วิกฤติทางภัยธรรมชาติ ครั้งนี้ถือเป็นวิกฤติภัยธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกว่าที่เคยประสบมาในอดีต มีจำนวนจังหวัดเกินครึ่งของประเทศได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและพิบัติภัยที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย ไร่นาและเศรษฐกิจได้รับความเสียหายคิดเป็นมูลค่านับแสนล้านบาท
สิ่งที่น่าแปลกใจอย่างมากคือการขาดจริยธรรมในการแก้ไขวิกฤติดังกล่าว ยังมีการยักยอกทรัพย์สินและสิ่งของที่บริจาคเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม มีการฉกชิงสิ่งที่คนบริจาคหรือนำไปแจกจ่ายโดยสวมรอยเป็นชื่อของตนเอง เป็นต้น ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าละอายเป็นอย่างยิ่ง ผมมองว่ามันเป็นการทุจริตคดโกงกันดื้อๆหน้าด้านๆ แสดงให้เห็นว่าระดับคุณธรรมและจริยธรรมในสังคมไทยอ่อนด้อยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะด้านการเมืองยังมีการให้สินบนหรือการฮั้วประมูลระหว่างผู้รับเหมาในการจัดซื้อจัดจ้าง ถือเป็นการร่วมกันทำความเลวของคนไทยด้วยกัน
จากวิกฤติดังกล่าวทำให้ต้องดำเนินการปฏิรูปประเทศไทยแบบถอนรากถอนโคน ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาประเทศด้วยการแก้ไขความเดือดร้อนเท่านั้น แต่เป็นการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม ปรับเปลี่ยนจิตสำนึก ให้มีผลไปยังต้นตอของความคิด การพูด การกระทำ ให้นำไปสู่ความดี ความสามารถ ความสุข ความสร้างสรรค์ และความเจริญก้าวหน้าไม่เสื่อมถอย
ที่ผ่านมาจะเห็นว่านักการเมืองใหญ่ๆต้องสิ้นสุดอำนาจเพราะเรื่องบกพร่องทางจริยธรรม ผมคิดว่าองค์กรใดก็ตามที่สนับสนุนสามกงล้อหลักแห่งความดี ความสามารถ และความสุขได้อย่างเพียงพอและสมดุล ก็จะนำไปสู่คุณธรรมและจริยธรรมที่ดีได้ แต่ประเทศไทยถ้าเทียบกับนานาชาติ ถือว่าอ่อนด้อยบกพร่องด้านกงล้อหลักแห่งความดีซึ่งนำไปสู่ปัญหาวิกฤติทั้ง 4 ดังกล่าว
นอกจากนี้ กระบวนการ ทัศนคติ และสาระ ถือเป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น การที่ผู้นำรัฐบาลไปหารือพูดคุยเจรจากับคู่ขัดแย้งผ่านทางโทรทัศน์ และมีการใช้คำพูดในลักษณะกล่าวหา ให้ร้ายหรือดูถูกดูแคลนกันต่อหน้าสาธารณชนผ่านทีวี ถือเป็นการขาดคุณภาพในการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
ผมมองว่าเมื่อขาดจิตสำนึกด้านจริยธรรมก็จะจัดการกับความขัดแย้งไม่ได้ ทำให้ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันแต่เป็นการมุ่งเอาชนะคะคานกันด้วยความพร่องทางจริยธรรม ทำให้แก้ไขความขัดแย้งไม่ได้แต่จะทำให้ความขัดแย้งเพิ่มขึ้นอีก ฉะนั้นพลังทางสังคมต้องให้ความสำคัญไม่ให้มีการทุจริตหรือแอบอ้างเพื่อผลประโยชน์ของพวกใดพวกหนึ่ง ด้านพลังปัญญาต้องไม่ทำเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการกลุ่มทุนเท่านั้น ส่วนพลังอำนาจรัฐก็ต้องไม่ออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยไม่เหมาะสม
การสร้างจริยธรรมภาครัฐถือว่าเป็นฐานสำคัญที่สุดในการเป็นตัวอย่าง เป็นผู้นำที่จะชักชวนให้ผู้อื่นทำตาม โดยเฉพาะผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนของประชาชนที่สะท้อนภาพไปสู่เด็กและเยาวชน การเมืองระดับชาติปฏิบัติตัวอย่างไรย่อมส่งผลไปถึงการเมืองท้องถิ่นและประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ธุรกิจถือเป็นส่วนหนึ่งที่เชื่อมโยงระหว่างภาคการเมืองหรือภาครัฐกับภาคประชาชน ดังนั้น ผู้นำทั้งในภาคการเมืองและภาคธุรกิจ จึงควรทำตนเป็นแบบอย่างที่ดีตามแนวคิด 3 กงล้อหลัก คือ ความดี ความสามารถ และความสุข
การรับสินบน การให้สินบน หรือการซื้อเสียงต่างๆถือตัวอย่างของการขาดจริยธรรมที่จะเป็นต้องแก้ไข คงไม่ต้องให้ครบถ้วนตามหลักทศพิธราชธรรมร้อยเปอร์เซ็นต์ แค่ทำดีตามจรรยาบรรณและข้อบังคับด้านการทำความดีก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
ผมอยากเห็นการกระทำที่ถูกต้องตามจริยธรรมในภาคการเมือง รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ขอให้เรามาช่วยกันยกมาตรฐานคุณธรรมจริยธรรมให้สูงขึ้น ช่วยกันทำให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งคุณธรรม จริยธรรม ผมเชื่อว่าแม้จะไม่สำเร็จภายใน 1-2 ปี แต่ถ้าเราพยายามอย่างต่อเนื่องภายใน 10 – 20 ปี ความเจริญก้าวหน้าและอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันของสังคมไทยจะดีขึ้น พร้อมกับระดับการทุจริตของประเทศไทยที่จะต้องลดลงอย่างแน่นอน
ส่วนการส่งเสริมจริยธรรม ต้องดำเนินการโดยมีกฎหมายและนโยบายสนับสนุนที่เหมาะสมจริงจัง มีการจัดการความรู้รวมถึงการสร้างความรู้ มีการส่งเสริมความเป็นเครือข่ายและการจัดการเครือข่ายที่ดี มีการสื่อสาร
ที่เพียงพอและได้ผล มีการจัดการที่ดี พร้อมกับมีการเรียนรู้จากการปฏิบัติและจากแหล่งอื่นๆต่อด้วยการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ควรมีเครื่องมือวัดระดับจริยธรรม โดยไม่จำเป็นต้องจัดอันดับจริยธรรมก็ได้ ซึ่งตัวชี้วัดได้แก่การประเมินผลของหน่วยงาน สำรวจความเห็น สำรวจภาพลักษณ์ หรืออาจทำเป็นดัชนีทำนองเดียวกับดัชนีวัดคอร์รัปชันก็ได้
ทั้งนี้ขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) กระทรวงต่างๆ ศูนย์คุณธรรม มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด และองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย ร่วมมือเป็นภาคีในเบื้องต้น เน้นการสร้างสรรค์บ่มเพาะมากกว่าการไปกล่าวหาหรือตั้งข้อหาทางจริยธรรม หากทำได้จะทำให้ความไม่ดีค่อยๆลดลงและหายไปหรือหรือคงเหลือน้อยมากในที่สุด และขอสนับสนุนให้การส่งเสริมจริยธรรมถือเป็นวาระแห่งชาติ
และจากการที่รัฐบาลจัดให้มีคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) ซึ่งมี นายอานันท์ ปันยารชุน และ ศ.นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธานคณะกรรมการของแต่ละชุดตามลำดับนั้น เชื่อว่าการดำเนินการภายใน 3-4 เดือนข้างหน้าจะมีข้อสรุปนำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายได้ โดยภายในเดือน มี.ค. หรือเม.ย. 2554 น่าจะเห็นผลอย่างแน่นอน”
หมายเหตุ นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม กรรมการสมัชชาปฏิรูป อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาเปิดงานเรื่อง “ปฏิรูปประเทศไทยโดยใช้จริยธรรม” ในการสัมมนาทางวิชาการว่าด้วยสัปดาห์ส่งเสริมจริยธรรมแห่งชาติ ประจำปี 2553 ที่โรงแรมคอนราด “กรุงเทพธุรกิจ” เห็นว่ามีเนื้อหาน่าสนใจ จึงนำมาเสนออย่างละเอียด
อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/410214