ไพบูลย์..ชี้ปฏิรูปต้องทำร่วมหลายส่วน
(สรุปปาฐกถาพิเศษลงใน หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 8 กรกฎาคม 2553 จากการสัมมนา “ธุรกิจเพื่อสังคม : พลังขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทย” จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ณ โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์พาร์ค เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2553)
นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ประธานมูลนิธิหัวใจอาสา กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ธุรกิจเพื่อสังคม” ประเทศชาติไม่ติดหล่ม สังคมไม่ติดลบ ว่า การปฏิรูปประเทศจำเป็นและควรทำแต่ต้องทำหลายส่วนและหลายมิติของประเทศ โดยประชาชนถือว่าเป็นส่วนใหญ่ที่สุด ภาคธุรกิจทุกกิจการที่เป็นธุรกิจถือว่ามหาศาลทั่วประเทศ ทุกประเภท ทุกขนาดทุกพื้นที่ และภาครัฐที่ได้รับอำนาจมาจากประชาชนและมีหน้าที่บริหารจัดการสังคม ทั้งสามฝ่ายจะปฏิรูปประเทศต้องร่วมมือกันและช่วยกันคิด และการจะปฏิรูปอะไรควรเริ่มจากตัวเองก่อน
วันนี้โฟกัสการปฏิรูปไปอยู่ที่ภาคธุรกิจและภาคอื่นๆ คือธุรกิจเพื่อสังคม ซึ่งต้องปฏิรูปทั้งวิธีคิดและวิธีทำ การมองต้องแบบมองกว้าง คิดไกล ใฝ่สูงส่ง มองทุกอย่างให้เป็นระบบ คิดในเชิงบวกเชิงรุก และคิดในทางสร้างสรรค์ เป็นการปฏิรูปวิธีคิด ไม่ง่ายแต่ทำได้ คิดโดยเห็นความเป็นระบบและความเป็นพลวัตของสรรพสิ่ง ในสังคมและในโลก
การปฏิรูปประเทศไทย ภาคสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ทั้ง 3 ฝ่ายจะต้องร่วมกันคิดจากตัวเองว่าจะช่วยกันปฏิรูปได้อย่างไร และควรแสวงหาแนวร่วมกับภาคอื่นๆ ด้วยการรวบรวมพลังสร้างสรรค์เข้ามาร่วมมือ เป็นหุ้นส่วนซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะภาคธุรกิจต้องปฏิรูปทั้งวิธีคิดและวิธีทำ จากมองแคบ คิดใกล้ ใฝ่ต่ำเตี้ย เป็นมองกว้าง คิดไกล ใฝ่สูงส่ง จากมองแบบแยกส่วนเฉพาะจุด เฉพาะเรื่องมา เป็นมองสังคมทั้งหมดแบบองค์รวมหรือบูรณาการ จากการคิดธุรกิจเพื่อธุรกิจ เป็นการคิดธุรกิจเพื่อสังคม
การปฏิรูปวิธีทำ ต้องเปลี่ยนความคิดจากที่ว่าการทำธุรกิจเป็นของธุรกิจ โดยธุรกิจ เพื่อธุรกิจ แต่ให้เปลี่ยนเป็นการทำธุรกิจเพื่อสังคม ทำธุรกิจที่มีคุณภาพคือ
1. เป็นการทำธุรกิจที่มีธรรมาภิบาล มีความถูกต้อง เหมาะสม มีคุณธรรมความดี
2. เป็นการทำธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งหมายถึง มีความถูกต้องชอบธรรมดีงามในทุกกระบวนการของธุรกิจ ตั้งแต่เริ่มการตั้งโรงงาน การเลือกคน การผลิตสินค้า การบริการทุกขั้นตอนและอื่น ๆ
3. เป็นการทำธุรกิจที่มีหรือเป็น “กิจการเพื่อสังคม” (Social enterprise) ซึ่งมีความสำคัญขนาดที่ รัฐบาลตั้ง “คณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม” ขึ้นมาโดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเอง ทั้งนี้บางธุรกิจได้มีการดำเนินการไปแล้วเกี่ยวกับมีหรือเป็น “กิจการเพื่อสังคม” เป็นการเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีทำ
การปฏิรูปความคิดจากเดิมศูนย์รวมอยู่ กทม. เป็นการกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ให้สร้างความร่วมมือและเอาพื้นที่จังหวัดเป็นตัวตั้ง เริ่มจาก ภาคประชาชน และมีแต่ละองค์กรที่เกี่ยวข้องมาเป็นตัวแทน เป็น “เครือข่ายพหุภาคีเพื่อขับเคลื่อนจังหวัด” โดยให้ชุมชนท้องถิ่นซึ่งเป็นฐานรากที่แท้จริงของสังคม เป็นเจ้าของเรื่องหลัก และมีบทบาทสำคัญ ทั้งนี้ในปัจจุบัน ชุมชนท้องถิ่นได้พัฒนาก้าวหน้าไปมากพอสมควร มีเครือข่ายทั่วประเทศ
การปฏิรูปจากฐานรากขึ้นมาเป็นไปได้โดยกลไกที่จังหวัดทุกจังหวัด นอกจากนี้ต้องปฏิรูปการทำงานและวิธีคิดคือ
1. ให้เอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง โดยชุมชนและประชาชนในพื้นที่เป็นแกนหลักและมีบทบาทสำคัญ
2. ให้ประชาชนในพื้นที่เป็นเจ้าของเรื่องและเจ้าของประเด็นเป็นสำคัญ เพราะเรื่องและประเด็นในจังหวัดเป็นเรื่องของประชาชน ประชาชนจะรู้ดีว่าสภาพเป็นอย่างไร ปัญหาเป็นอย่างไร ความต้องการเป็นอย่างไร ฯลฯ
3. ทุกฝ่ายทั้งที่อยู่ในพื้นที่และมาจากนอกพื้นที่ต้องประสานความร่วมมือ เป็นความสัมพันธ์ในแนวราบ ทุกคนทุกฝ่ายร่วมมืออย่างเสมอกัน
“การปฏิรูปฐานรากที่ท้องถิ่นจะเกิดขึ้นได้ต้องมีกลไกที่เอื้ออำนวยไปในทุกจังหวัด ต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากเอาหน่วยงานเป็นตัวตั้งเป็นเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง ให้ชุมชน ประชาชนในพื้นที่มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจ โดยมีหน่วยงานต่างๆ ไปส่งเสริมสนับสนุน ขณะเดียวกันทุกฝ่ายทั้งภาครัฐภาคธุรกิจและภาคประชาสังคม ต้องประสานความร่วมมือให้เป็นความสัมพันธ์แนวราบ ไม่คิดว่าใครเหนือกว่าใคร”
นั่นคือเอาทั้งสามส่วนมาประสานความร่วมมือกัน ให้ประชาชนเป็นเจ้าของเรื่องและส่วนอื่น ๆ เป็นส่วนสนับสนุน และถือว่าภาคธุรกิจมีความสำคัญและเชื่อว่า เป็นหนึ่งในภาคที่มีความสำคัญและมีพลังสูง ซึ่งสามารถจะมีบทบาทมากในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่สังคมที่น่าอยู่และเจริญสันติสุขอย่างแท้จริงและอย่างยั่งยืน
(ปรับปรุง 1 มี.ค. 54)
อ้างอิง
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ใน ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เว็บไซต์ ต้นฉบับ https://www.gotoknow.org/posts/380881